adyim.com
  • หน้ากากพ่อทวดพรานบุญ รุ่นเสน่หารุมรัก

    หน้ากากพ่อทวดพรานบุญ มโนราห์ พิทักษ์ พรหมมวาส (หมอเอก) สร้างตามศาสตร์ไสยเวทย์ครูหมอโนราห์แบบโบราณ ประจุพลังครูพ่อทวดพรานบุญขลังนัก มีสองพิมพ์ให้เลือก เล็ก-ใหญ่ (พิมพ์ใหญ่ประมาณหัวแม่มือ พิมพ์เล็กย่อมลงมาหน่อย) พิเศษที่พิมพ์ใหญ่ บรรจุ โกเมน เสริมวาสนาบารมี ส่วนพิมพ์เล็ก ฝังตะกรุด เสน่หารุมรัก เป็นเมตตามหาเสน่ห์

  • สีผึ้งสาริกาคู่คืนรัง (พ่อกาแม่กามหาเสน่ห์)

    สีผึ้งสาริกาคู่คืนรัง(พ่อกาแม่กามหาเสน่ห์)ไม้กาฝากกาหลง ตำหรับมโนราห์ พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) ท่านจัดสร้างไว้นานแล้วและปลุกเสกมาโดยตลอด ทำพิธีลงหัวใจสาริกา ที่สีผึ้งสาริกาคืนรังนี้เองทุกคู่ พร้อมทั้งยังอัญเชิญ ทวดพรานบุญ มาในพิธี เพิ่มพลังให้เข้มขลังมายิ่งขึ้นสีผึ้งสาริกาคู่คืนรังนี้เด่นไปทางด้าน เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ค้าขาย เหมาะสำหรับพ่อค้าแม่ขาย นักร้อง นักแสดง ผู้ทำงานให้บริการต่าง ๆ เพราะเมื่อพกบูชาติดตัวแล้ว จะพูดจาสิ่งใดมีแต่คนเชื่อถือ คนรักใคร่ เป็นที่เมตตาต่อผู้พบเห็น

  • พญางั่งมหาอุลลุม

    พญางั่งมหาอุลลุม ปลุกเสกโดยมนต์เนื้อหอมนาคเรียกโขลง ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์เรียกผู้คนมาห้อมล้อม มโนราห์ พิทักษ์ พรหมมวาส ตั้งใจปลุกเสกให้เข้มขลังทรงพลังเต็มที่ ประจุมนต์ลงใน “พญางั่งมหาอุลลุม ” ให้มีพลังเสน่ห์แรงกล้า จะเป็นเสน่ห์เมตตากับคนทั่วไป แม้เพียงเห็นหน้าก็ให้ถูกชะตา ติดต่อการงานไม่มีพลาด ได้รับความช่วยเหลืออย่างคาดไม่ถึง มีแต่ผู้คนเอ็นดู พกติดตัวไปค้าขาย บอกราคาไปเถิดลูกค้าใจอ่อนซื้อไม่มีต่อรอง ค้าได้ขายดีมีกำไร พกติดตัวไปเที่ยวแหล่งใดเป็นเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามหลงไหลวนเวียนไม่ห่าง พกติดตัวไปต่างแดนติดต่อเจรจาการใดไม่มีติดขัด ผู้คนรอบข้างเจ้านายลูกน้องให้ความร่วมมือดีทุกประการ เสน่ห์เมตตารุนแรงสมเป็นของดีชั้นครู

  • คุณพ่อปลัดหัวทอง ตำหรับทวดพรานบุญ

    คุณพ่อปลัดหัวทอง ทำมาจากไม้พยุง มโนราห์ พิทักษ์ พรหมมวาส (หมอเอก) ทำการปลุกเสกพลังพุทธาคมเข้มขลังเอกอุสมบูรณ์พร้อม ลงทองเองกับมือทุกตัว ประจุพลังครู ทวดพรานบุญ ขลังยิ่งนัก ใช้แขวนเอว จะช่วยให้เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย เสริมดวง โชคลาภ กันผีสาง งูเงี้ยวเขี้ยวขอ เป็นของดีที่เด่นมาก ลองนำไปบูชาติดตัวกันดู จะรู้เองเห็นเองในความขลังของครูสายนี้

  • น้ำมันสาริกาคู่คืนรัง (พ่อกาแม่กามหาเสน่ห์)

    น้ำตาปลาพยูน น้ำมันเสน่ห์จันทร์ น้ำมันหอมพ่อทวดพรานบุญ แป้งเสกมโนราห์ ว่านสาวหลง ว่านดอกทอง แป้งแม่ศรีมาลา น้ำมันตะเกียงไหว้ครูหมอ ทั้งหมดเป็นมวลสารมหาเสน่ห์ ตำหรับมโนราห์ พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) สำหรับตัวนกสาริกาคู่ ทำมาจากไม้รักซ้อน เสกอาการ 32 เสกหัวใจเปิดปากนก ตานก ด้วยคาถา พระพุทธเจ้าเปิดโลก อัญเชิญพ่อทวดพรานบุญในพิธีปลุกเสกให้เข้มขลังเอกอุ ใช้พกติดตัวเป็นมหาเสน่ห์ น้ำมันใช้เจิมหน้าผากกับแตะลิ้นก่อนออกจากบ้าน ใช้เจรจาขอความรักให้กลับคืน เชื่อมั่นศรัทธา ไม่ลังเล ย่อมเกิดผล ตามดวงจิตปรารถนา

  • เหรียญสาริกาคู่คืนรัง (พ่อกาแม่กามหาเสน่ห์)

    เหรียญสาริกาคู่คืนรัง ตำหรับมโนราห์ พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) เสกอาการ 32 เสกหัวใจเปิดปากนก ตานก ด้วยคาถา พระพุทธเจ้าเปิดโลก อัญเชิญพ่อทวดพรานบุญในพิธีปลุกเสกให้เข้มขลังยิ่ง พุทธคุณสูงใช้ดีทาง เมตตามหานิยม-มหาเสน่ห์ มหาระลวย ใช้เจรจาขอความรักให้กลับคืน บันดาลโชคลาภ วาสนา เป็นที่รักชอบของผู้ที่ได้พบเห็น เจรจาพาทีไพเราะเสนาะหูจับจิตจับใจแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังให้หลงใหลคล้อยตาม วัตถุมงคลของ หมอเอก ทุกชิ้นรับประกันความแท้ เชื่อมั่นศรัทธา ไม่ลังเล ย่อมเกิดผล ตามดวงจิตปรารถนา

มโนราห์ พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) จ.ยะลา

10 ส.ค. 2555

0

มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ครูหมอตัวจริง ที่ต้องเปิดตำนาน






6 ส.ค. 2555

0

เสน่ห์ฝันมโนราห์




             
หนุ่มใต้ชาวสงขลาที่หลงใหลในเสน่ห์ของศิลปะ พื้นบ้านภาคใต้ จตุรงค์ จันทระ หรือ เจมส์ หนุ่มใต้วัย 28 ปี


              เริ่มต้นทำตามความฝันเพราะรู้ตัวแล้วว่ามโนราห์คือชีวิตของเขา เจมส์เรียนจบคณะศิลปศาสตร์ เอกอาหารและโภชนาการจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตสงขลา แต่ด้วยใจรักในมโนราห์ เจมส์จึงเริ่มต้นก่อตั้งกลุ่มมโนราห์วัดจันทร์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ขึ้นมาเขายังคงยืนหยัดเพื่อให้คงอยู่ แม้ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม แม้วันนี้เขาจะได้เป็นนายโรงแต่เขาคิดว่าความสุข และรอยยิ้มของผู้ชมที่เขาได้รับกลับมากลับมีค่ามากกว่ายศตำแหน่งใดๆ 


              ความสำเร็จของความฝันไม่อาจสรุปได้ที่สิ่งตอบแทนใดๆ แต่อยู่ที่การทำให้ศิลปะพื้นถิ่นได้ดำรงคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป

15 ก.ค. 2555

0

ขลังมาก พิสูจน์ผลได้...ให้พลังเฉียบขาดจริงแท้ ๆ






มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ครูหมอมโนราห์จากปักษ์ใต้
ที่สุดของที่สุดแห่งมนตรามหาเสน่ห์ ให้คุณเป็นเลิศด้านเจรจา การงาน ค้าขายดี เรื่องความรัก มหาหลงใหล ชุบราศี เสริมพลังเปล่งประกายให้ใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานเจ้านายไม่รัก ไม่ค่อยมีเสห่ห์ หรือท่านที่ทำงานกลางคืน ท่านจะสมหวังในเวลาอันรวดเร็ว ของทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อน แล้วชีวิตของท่านจะมีความสุข ความสมหวัง อย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว

ในปัจจุบัน ความเป็นอยู่ของบุคคลทั่วไปมักมีปัญหาในเรื่องการดำเนินชีวิตแทบทุกคน เพราะคนเรามีฐานะที่ไม่เหมือนกัน บางคนที่ฐานะดีก็มีปัญหาเช่นกัน และบางคนยากจนก็มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง หรือบางคน ไม่เกี่ยวกับเรื่องยากดีมีจน แต่ก็มีปัญหาชีวิตที่ต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาแก้ไขให้จึงจะสบายใจ

        ปัญหาต่าง ๆ แก้ไขได้ ถ้าหากผู้มีวิชาอาคมที่ชำนาญ เช่น มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ซึ่งท่านเป็นครูหมอมโนราห์ที่มีชื่อสียงโด่งดัง เพราะท่านได้เรียนวิชาอาคม มาตั้งแต่สมันเด็ก ๆ ซึ่งปัจจุบัน มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาสได้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย

        มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ได้ช่วยเหลือประชาชนและสานุศิษย์ประสบความสำเร็จมานับไม่ถ้วน เพราะ มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ได้ยึดถือปฏิบัติตามพิธีตามโบราณมาอย่างเคร่งครัด เช่น การทานข้าวต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เวลาถ่ายต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันตก และเวลานอนต้องหันศรีษะไปยังทิศตะวันออก เป็นต้น

        การทำพิธีทุก ๆ อย่างของ มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส นั้น จะทำวิชานี้ให้เฉพาะคน ๆ เท่านั้น ท่านไม่ทำพร่ำเพรื่อ โดยไม่รู้เหตุรู้ผล ในแต่ละวันมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือมากมาย แต่บางคน มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส ก็ไม่ทำให้ ถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งผิด

        ส่วนทางเมตตรา มหานิยม นับว่าเป็นวิชาสุดยอดและเร้นลับที่สุดในขณะนี้ เพราะ มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส จะใช้วิชาปลุกเสก น้ำมันเสน่ห์มโนราห์ ซึ่งน้ำมันนี้ทำมาจากสิ่งต่าง ๆ มากมาย ต้องใช้เวลาถึง หนึ่งพรรษา และกระทำพิธีปลุกเสกในโบสถ์ที่มีประตูทาง เข้า-ออก ทางเดียวกัน เพราะเป็นพิธีที่สมัยโบราณเขาทำกัน
ก่อนที่มโนราห์จะออกมารำนั้น ต้องทำพิธีจุนเจิมน้ำมันเสน่ห์มโนราห์เสียก่อน จะทำให้คนเห็นคนรัก และดูเด่นเป็นสง่าทำให้คนดูหลงใหล ตรงนี้สำคัญมากสำหรับศาสตร์แห่งศิลปะมโนราห์

        อีกอย่าง...มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส บอกว่า คนเรานั้นมีสิริอยู่ที่ใบหน้า เป็นสำคัญ
น้ำมันเสน่ห์มโนราห์จะเสริมพลังเปร่งประกายให้ใบหน้าชุบราศี ถ้าท่านได้บูชาน้ำมันเสน่ห์มโนราห์นี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน หรือเจ้านายไม่รัก ไม่ค่อยมีเสน่ห์ หรือทำงานกลางคืน ท่านจะสมหวังในเวลาอันรวดเร็ว

        ของทุกอย่างต้องพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน แล้วชีวิตท่านจะมีความสุขสมหวัง อย่างไม่คาดคิดเลยทีเดียว...

        และที่แรงมาก คือ ได้บรรจุตะกรุดนาคเรียกโขลง (ตะกรุดเนื้อหอม) ไว้รวมกับน้ำมันเสน่ห์มโนราห์อีกด้วย...จึงขลังมาก !!! พิสูจน์ผลได้...ให้พลังเฉียบขาดจริงแท้ ๆ
        น้ำมันเสน่ห์มโนราห์ที่ทุกหลอดบรรจุรวมกับตะกรุดนาคเรียกโขลง (ตะกรุดเนื้อหอม) ทุกหลอด ตะกรุดทุกดอก ครูหมอท่านลงวิชาเอง ไม่ต้องกังวลใจ...

ตะกรุดนี้ต้องไว้รวมกับน้ำมันเสร่ห์มโนราห์ โดยท่านพกติดตัวได้เลย ให้ท่านที่ศรัทธาเอาไปใส่หลอดท่อบรรจุตะกรุดตามร้านใส่กรอบสแตนเลสทั่วไป แล้วแขวนติดตัวเลย  ท่านไม่ต้องเอาน้ำมันมาเจิมจุนหน้าแต่อย่างไร เพียงแค่นี้ก็มีพลังมหาเสน่ห์ได้แล้วจริง ๆ

ตะกรุดนาคเรียกโขลง (ตะกรุดเนื้อหอม) บรรจุในหลอดน้ำมันเสน่ห์มโนราห์ บูชาครูเพียง 500 บาท

ไม่มีคาถาปลุกเสกใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเสกมาแล้วเป็นไตรมาส...ขอให้เชื่อมั่นจริง ๆ ไม่โลเลเหลาะแหละ ครูท่านจึงประสิทธิให้

หมายเหตุ... ตะกรุดนาคเรียกโขลง (ตะกรุดเนื้อหอม) ยังได้รับการปลุกเสกจาก พ่อท่านเอื้อม วัดบางเนียน อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุ 107 ปี มาอีกด้วย...จึงพิเศษสุดแบบวิชาภาคใต้ที่ยากจะหาที่ใดเทียบเทียมอีกแล้ว...



11 เม.ย. 2555

0

บอกบุญ ชาวไทยทั่วล้า ร่วมกันสร้างพ่อท่านคล้าย ใหญ่ที่สุดในโลก


                             ประกาศบอกบุญแก่พุทธชนทุกท่าน ท่านพระครูสถิตปริยกิจ (หลวงพ่อเสนอ)  แห่งวัดบ้านทุ่งเสรี หัวหมาก รามคำแหง ซอย 24 กรุงเทพฯ เชิญผู้ใจบุญเข้าร่วมพิธียกโบสถ์วัดบ้านทุ่งเสรี วันที่ 5 พฤษภาคม 2555 นี้   
IMAG1230
ท่านพระครูสถิตปริยกิจ (หลวงพ่อเสนอ) 
                               ท่านพระครูสถิตปริยกิจ (หลวงพ่อเสนอ)    ท่านเป็นชาวอำเภอฉวาง จ.นครศรีธรรมราช บวชแล้วศึกษาพุทธาคมกับพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ จากนั้นก็ศึกษากับหลวงพ่อสงฆ์ วัดศาลาลอย และในเวลาต่อมาหลวงพ่อเสนอได้ เรียนกับหลวงปู่โต๊ะ ที่วัดประดู่ฉิมพลี เป็นเวลา 12 ปี หลวงปู่โต๊ะละสังขาร บรรดาศรัทธาญาติโยมจึงได้นิมนต์ให้ท่านมาพัฒนาวัดร้างทุ่งแม้นเขียน หรือวัดบ้านทุ่งเสรี หัวหมาก รามคำแหง ซอย 24 กรุงเทพฯ ใช้เวลาไม่นานนักจากวัดที่รกร้างจนเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองที่เห็นในปัจจุบันนี้

                                วันที่ 5 พฤษภาคม 2555  นี้ ท่านได้จัด พิธียกโบสถ์วัดบ้านทุ่งเสรี รายได้จากผู้สละทุนทรัพย์ นำไปปฏิสังขรณ์โบสถ์ วัดบ้านทุ่งเสรี และนำไปสร้างองค์พ่อท่านคล้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วัดสวนพระหิน เขาโพธิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์


IMAG1229

ติดต่อสอบถามหลวงพ่อโดยตรง   

IMAG1223
องค์พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ณ บริเวณใต้โบสถ์ วัดบ้านทุ่งเสรี


IMAG1225


องค์พ่อท่านคล้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วัดสวนพระหิน เขาโพธิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

10 เม.ย. 2555

0

ศรัทธาคนสองเล


ศรัทธาคนสองเล

ประเพณีตายายย่าน โนราโรงครูสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่อยู่หัว

         งานพิธีสมโภชสรงน้ำเจ้าแม่อยู่หัวและงานตายายย่านที่วัดท่าคุระ ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ถูกกำหนดขึ้นทุกวันพุธแรกข้างแรมในเดือนหกของทุกปี แต่ละปีมีคนเข้าร่วมพิธีมากขึ้นทุกที ไม่ว่าใกล้หรือไกล ลูกหลานจะกลับมาไหว้เจ้าแม่อยู่หัวกันเป็นประเพณีกึ่งพิธีกรรม

         คำว่า “งานตายายย่าน” หมายถึง งานรำลึกถึงบรรพบุรุษเทือกเถาเหล่ากอของวงศ์ตระกูล โดยเฉพาะ “แม่เจ้าอยู่หัว” ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษของคนท่าคุระด้วย ทุกคนในครอบครัวรวมทั้งที่ย้ายภูมิลำเนาไปยังถิ่นอื่นจะกลับมาชุมนุมพร้อมกัน ร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ จะกลับมาหรือแก้บนสร้างสิริมงคลให้เกิดแก่ชีวิตและครอบครัวในปัจจุบัน

         ที่วัดท่าคุระมีการเปิดเต็นท์ขายสินค้าพื้นเมือง ขายขนมท้องถิ่นตั้งแต่ขนมลา (ขนมพอง) ขนมโคกะละแม ข้าวเหนียว (แดง) กวน ฯลฯ เต็มพื้นที่วัด และสิ่งที่เป็นหัวใจของงานก็คือ “การรำโนราโรงครู” หรือมโนราห์โรงครูแก้บนถวายแม่เจ้าอยู่หัวนั่นเอง

         งานตายายย่าน สรงน้ำเจ้าแม่อยู่หัว เริ่มทำตั้งแต่บ่ายวันพุธจนย่ำค่ำของวันพฤหัสบดี  ผู้คนจากทุกสารทิศเข้าแถวเพื่อรอสรงน้ำทั้งหนุ่มสาวไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ ในมือถือแก้วน้ำลอยดอกไม้ประพรมน้ำอบ แม้ว่าอากาศเดือนพฤษภาคมจะร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ทุกคนต่างอดทนด้วยแรงศรัทธา

         การสรงน้ำจัดขึ้นในโบสถ์วัดท่าคุระ หลังจากเจ้าอาวาสและพระผู้ประกอบพิธีอัญเชิญเจ้าแม่อยู่หัวออกมา ประชาชนต่างเบียดเสียดรอสรงน้ำเจ้าแม่อย่างใจจดใจจ่อ


ผู้เฒ่าวัย ๗๐ ปีเศษ ก้มกราบเจ้าแม่อยู่หัว ศีรษะจรดพื้นด้วยความนบนอบและนับถือ

         เจ้าแม่อยู่หัวเป็นพระพุทธรูปทองคำขนาดเล็ก ปางสมาธิ ตามตำนานเล่าว่า เจ้าแม่อยู่หัวเป็นตัวแทนของ “พระหน่อ” ซึ่งเป็นที่นับถือของคนลุ่มทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่ระโนด สทิงพระ จนถึงกระแสสินธุ์ ที่สัมพันธ์กับตำนานเรื่องเล่าในท้องถิ่นอันเกี่ยวพันกับวัดพะโคะ ซึ่งเป็นวัดสำคัญในสมัยอยุธยาที่มีสมเด็จพระเจ้าพะโคะหรือหลวงปู่ทวด พระสงฆ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งคาบสมุทรอยู่ที่นั่นเอง

         องค์เจ้าแม่วางอยู่บนพานเงินล้อมองค์ด้วยดอกไม้สด ข้างเคียงเป็นพระพี่เลี้ยงวางอยู่ในหีบเหล็กที่วัดท่าคุระจัดไว้บนฐานปูน ต่อท่อให้น้ำไหลลงไปยังสระนอกโบสถ์สำหรับชาวบ้านนำกลับไปบูชา ถือเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้เกิดความสุขกายสบายใจ ระหว่างสรงน้ำเจ้าแม่อยู่หัว พระสงฆ์จะสวดให้พรและแก้บนด้วยการรำมโนราห์ถวายหรือด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น การบวชพระและสามเณร บวชชี หรือถวายข้าวตอกดอกไม้และบริจาคทานเพื่อสร้างอุโบสถวัด

         การแก้บนที่สำคัญซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่งที่เจ้าแม่โปรดปรานที่สุดคือการรำมโนราห์ถวาย เรียกกันว่า การรำโรงครู ตามแบบฉบับดั้งเดิม เล่ากันว่าหากไม่รำถวาย จะเกิดเหตุไม่ดีแก่ตนเองและครอบครัว

         การเบิกโรงของมโนราห์เริ่มด้วยการตั้งเครื่องโหมโรงประกาศราชครู รำเบิกโรง-รำแม่บท ออกพราน รำคล้องหงส์ แทงจระเข้ เฆี่ยนพราย ดังนั้นคณะมโนราห์ที่ออกโรงในงานประเพณีตายายย่านจะต้องมีความเจนจัดในนาฏศิลป์แขนงนี้เป็นพิเศษ ปีนี้มโนราห์คณะสมพงษ์น้อย ศ. สมบูรณ์ศิลป์ จังหวัดพัทลุง เป็นคณะเบิกโรงในงานพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แก่คนลุ่มทะเลสาบสงขลา

         ระหว่างการแสดง ลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัวที่เข้าร่วมพิธีจะสลับขึ้นมารำถวายตลอดทั้งวัน

         ในวัย ๒๔ ปี ครูแอน หรือ จิราวรรณ ชะนีทอง ครูอนุบาลโรงเรียนบ้านท่าคุระ ผู้ดูแลคณะมโนราห์เด็กบอกว่า งานตายายย่าน บ้านท่าคุระ เป็นงานประเพณีท้องถิ่นที่เธอมีความภาคภูมิใจ ความศรัทธาต่อเจ้าแม่อยู่หัวทำให้คณะครูโรงเรียนบ้านท่าคุระก่อตั้งคณะมโนราห์ขึ้นมา โดยคัดสรรเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓-๖ มารำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทุกปี โดยมีครูมโนราห์จริงๆ เป็นผู้สอน

         การฝึกมโนราห์เด็กโรงเรียนบ้านท่าคุระถูกจัดอยู่ในรายวิชานาฏศิลป์พื้นบ้าน แต่การรำมโนราห์แก้บนในงานตายายย่านยังแฝงไว้ด้วยความศรัทธาในเจ้าแม่อยู่หัว เด็กๆ ที่เข้ารับการฝึกฝนมีความเต็มใจและภาคภูมิที่ได้รำถวายเจ้าแม่อยู่หัว รวมถึงครอบครัวของพวกเขาเอง

         ครูแอนเล่าว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและศรัทธาแก่คนในชุมชน ไม่ว่า คนในชุมชนจะออกไปทำงานไกลแค่ไหน เมื่อถึงงานประเพณีในแต่ละปี ลูกเจ้าแม่อยู่หัวจะกลับบ้านเพื่อร่วมสรงน้ำและรำมโนราห์ถวาย ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่อยู่หัวขจรขจายสู่จิตใจคนลุ่มทะเลสาบ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางวัฒนธรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา

         การรำมโนราห์ถวายมีทั้งรำมโนราห์ทรงเครื่อง รำออกพรานร่วมกับบนบวชนาค บวชชี รำกระบี่กระบอง ใครบนอย่างไร รำถวายอย่างนั้น และมีธรรมเนียมกันว่า หากมีลูกชายคนหัวปีอายุเข้า ๑๔-๑๕ ปี ให้จัดทำขนมพอง (ขนมลา) ๑ สำรับ ถ้าเป็นลูกผู้หญิงหัวปีให้ทำขนมโค ขนมขาว ขนมแดง ถวาย หากไม่ทำจะทำให้ประสบเหตุเภทภัยและทุกขเวทนาต่างๆ

         สิ่งที่สำคัญคือ สำนึกในสายเลือดของคนที่ถือตนว่าเป็นลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัว การกลับมาร่วมพิธีถือเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสิ่งศรัทธา นอกจากนี้ทุกปีในช่วงเวลานี้ เครือญาติสนิทมิตรสหายต่างกลับมาพบหน้าค่าตา เป็นความผูกพันโดยมีเจ้าแม่อยู่หัวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และรักษาสืบทอดการรำมโนราห์ให้เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานที่ครูแอนภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง


ชาวบ้านผู้ขึ้นมารำแก้บนถวาย ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายถึงย่ำค่ำของวันพฤหัสบดี หมุนเวียนไม่

         การบนบานหรือ “เหมรย” ในภาษาพื้นถิ่นแบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ เหมรยปาก อันเป็นการสัญญากันด้วยวาจา และ เหมรยห่อ หมายถึงการสัญญาโดยมีห่อเครื่องสังเวย เมื่อประสบผลแล้วจึงมาแก้ห่อแล้วรำมโนราห์ถวาย

         ลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัวทุกคนเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าวนั้น ใครขออะไรแล้วทำความดีร่วมจะสมดังความปรารถนา ใครบนบานอะไรไว้แล้วรำมโนราห์ถวายจะประสบความสำเร็จ ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายในชีวิต เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนสองฝั่งทะเลสาบสงขลามานับร้อยปี

         การรำโนราเป็นศิลปะที่อ่อนช้อยและเป็นที่นิยมของคนลุ่มทะเลสาบ กินพื้นที่ตั้งแต่สงขลาถึงพัทลุงซึ่งถือตนว่าเป็นลูกหลานของโนรา เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลอง ทับ ฉิ่ง โหม่ง และปี่ เร้าอารมณ์ผู้ที่รำถวายเจ้าแม่อยู่หัวราวกับต้องมนต์สะกด

         นอกจากนี้ยังมีการเหยียบเสน เป็นการบำบัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งจะกระทำโดยโนราใหญ่ที่ผ่านพิธีกรรมและกระทำพร้อมกับการร่ายรำโนราโรงครู ผู้เข้ารับการเหยียบเสนจะต้องเตรียมถาดรองน้ำ หมากพลู รวงข้าว หญ้า ธูปเทียน โนราใหญ่จะเริ่มร่ายรำพร้อมมีดหมอในมือ ก่อนใช้ฝ่าเท้าจุ่มน้ำโดยมีผู้ช่วยจับหัวแม่เท้าของโนราใหญ่อังกับเทียนไขพออุ่น ก่อนร่ายรำอีกครั้งแล้วนำไปแตะที่บริเวณศีรษะ ฝ่าเท้า หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เชื่อว่าเป็นการปัดเป่าโรคภัยและช่วยให้รอดพ้นจากวิบัติต่างๆ

         ความเชื่อเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในสำนึกร่วมของชุมชนมานานนับร้อยปี และไม่ว่าใครจะเชื่อเหตุผลใด ประเพณีตายายย่านหลอมละลายหัวใจคนลุ่มทะเลสาบสงขลาเป็นหนึ่งเดียว ฝังลงในแผ่นทองขององค์เจ้าแม่อยู่หัวโดยมีมโนราห์เป็นสื่อแสดงออกซึ่งความศรัทธา

จนถึงปีหน้า คนสองเลจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง…

10 มี.ค. 2555

0

เจาะลึก โนราโรงครู


 
      หลายท่านอาจจะสงสัย เกี่ยวกับพิธีกรรมการครอบเทริด (บางฅนอ่านว่า เท-ริด จริงๆแล้วอ่านว่า เทริด นะครับ) ซึ่งมีความยุ่งยากและซับซ้อนไม่เบาเลยทีเดียว พิธีครอบเทริด หรือพิธีผูกผ้าใหญ่ เป็นพิธีกรรมโรงครูอีกแบบหนึ่งที่จัดขึ้น เพื่อเปลี่ยนสถานภาพโนรารุ่นใหม่ ให้เป็นโนราเต็มตัวพิธีกรรมนี้จะมีขึ้นหลังจากโนราฝึกร่ายรำจนชำนาญ ครูโนราจะทำพิธีครอบเทริด- เครื่องประดับศีรษะ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความสำคัญที่สุด ให้แก่โนราใหม่ หากโนรายังไม่ผ่านพิธีกรรมนี้ จะถือว่าเป็นโนราที่ไม่สมบูรณ์ หรือโนราดิบ หรือถ้าโนราคนไหนชิงแต่งงาน มีสามีก่อนเข้าร่วมพิธีนี้ ก็จะถูกเรียกว่า โนราราชิก หรือ โนราปราชิก โนราทั้งสองแบบจะไม่สามารถประกอบพิธีกรรมสำคัญ ๆ อย่างพิธีโนราโรงครูของชาวบ้านได้

     ด้วยเหตุที่เทริดเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่บ่งบอกสถานภาพโนรา ขั้นตอนการสวมเทริดในพิธีโรงครูจึง "ไม่ธรรมดา" และกลายเป็นจุดสำคัญของงานเลยก็ว่าได้ โดยโนราใหม่ จะต้องนั่งบนก้นขันเงินใบโต ซึ่งคว่ำอยู่กลางโรง ตรงกับเทริดที่ถูกผูกเชือก และชักขึ้นไปติดบนเพดาน หลังจากนั้นจึงมีคนค่อย ๆ ผ่อนเชือกให้เทริดลงครอบศีรษะโนราพอดิบพอดี เมื่อเสร็จขั้นตอน โนราใหม่ต้องร่ายรำด้วยท่าทางต่าง ๆ ที่ร่ำเรียนมาต่อหน้าครูโนราอย่างน้อยเจ็ดคน คล้ายกับเป็นการแสดงความสามารถ เพื่อขอจบหลักสูตร
 นอกจากพิธีครอบเทริด จะทำให้โนรารู้สึกว่า ตนเป็นโนราที่สมบูรณ์แล้ว พิธีกรรมนี้ยังมีผลต่อความรู้สึกของชาวบ้าน ที่ต้องการเชิญโนรามาประกอบพิธีโรงครู ให้แก่ครอบครัวของตนด้วย เพราะชาวบ้านเชื่อว่าร่างโนรา ที่ผ่านพิธีครอบเทริด เป็นร่างพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป สามารถสื่อสารกับโลกวิญญาณได้ เพราะการร่ายรำโนรา เป็นความรู้ของเทพยดา ที่มาบังเกิดในร่างมนุษย์ เห็นได้จากตำนานกำเนิดโนรา ราชธิดาตั้งครรภ์ด้วยเทพยดา และเด็กน้อยที่เกิดมาก็ร่ายรำโนรา ได้อย่างสวยงาม กระบวนการหัดเป็นโนรา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนความเชื่อนี้ เพราะท่ารำโนราต้องอาศัยพละกำลัง และความยืดหยุ่นของร่างกายสูงมาก


         ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล กล่าวถึงเรื่องนี้ในบทความ "ร่างในละครชาวบ้าน" ว่า
"...กระบวน การเป็นโนรา คือการรับเอาร่างของครูหมอโนรา เข้ามาไว้ในร่างของลูกหลาน ในเมื่อครูหมอโนรา เป็นร่างที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป โนราจึงสามารถทำสิ่งที่มนุษย์อื่นทำไม่ได้ เช่น สามารถขดตัวลงในถาด หรือแอ่นตัวไปด้านหลังม้วนเป็นวงกลม จนศีรษะที่สวมเทริด โผล่ออกมาระหว่างขาได้ นอกจากนั้นโนราในร่างครูหมอ หรือครูหมอในร่างโนรา ยังมีพลังที่จะสามารถจัดการ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อร่างกายอื่นได้"


      ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเกิดความไว้วางใจให้โนรา ที่ผ่านพิธีครอบเทริด ประกอบพิธีโรงครูให้ตน เพราะหากโนรา ยังไม่ผ่านกระบวนการทำให้ร่างกายมีลักษณะพิเศษ มีความสามารถในการร่ายรำท่ายาก ๆ และมีความรู้เชิงไสยศาสตร์ สำหรับเชิญวิญญาณฝ่ายดี กำจัดวิญญาณฝ่ายร้าย การแก้บนจะไม่ขาด ครอบครัวเจ้าภาพที่เชิญโนรามาประกอบพิธี จะได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง และต้องเชิญโนราคณะอื่น ที่มีความสามารถมากกว่ามาทำพิธีให้อีกครั้ง การเลือกโนรามาประกอบพิธี จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงครูทุกวันนี้ราคาสูงมาก ปัจจุบันก็หลายหมื่นบาท หรือบางทีก็เกือบแสนบาท แล้วการตั้งโรงครูครอบเทริด ก็จำต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าแน่นอน

     ในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าบทบาทของโนรานั้นหร่อยหรอลงไปทุกวัน มีเพียงฅนเฒ่าฅนแก่เสียส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมนี้ วัตถุประสงค์ที่หลายคนอาจจะมองข้าม สำหรับโนราโรงครูแล้ว ผมขอสรุปเป็น 2 ข้อหลักๆ คือ
1.เพื่อประกอบพิธีไหว้ครูหรือไหว้ตายายโนรา อันเป็นการแสดงความกตเวทิตาคุณต่อครูบาอาจารย์ และบรรพบุรุษของตน
2.เพื่อ ประกอบพิธีแก้บนหรือแก้เหมย อาจะเป็นเพราะเหตุของความเชื่อที่ว่าครูหมอโนราหรือตายายโนรายังมีความ สัมพันธ์อยู่กับลูกหลานและผู้มีเชื้อสายโนรา ท้องถิ่น อีกทั้งลูกหลานหลายฅนไร้ที่พึ่ง จึงมักบนบานต่อครูหมอโนราเพื่อขอในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ

6 มี.ค. 2555

0

เมื่อยุควัตถุนิยมเรืองอำนาจ


            โลกของเราที่อยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยเสื่อมลงแต่อย่างไร มีแต่ใจคนเท่านั้นที่เสื่อม และต่อไปก็จะมีแต่เสื่อมลง ๆ จนบางทีเรียกได้ว่า "กลียุค" คงไม่ผิดนัก หลายเห็นผิดเป็นชอบ เห็นอำนาจของเงินสำคัญกว่าคุณค่าของจิตใจ กราบคนเลว นับถือคนรวย จนท้ายที่สุดคนดี ๆ ต่าง ท้อแท้จะทำความดี

             ตัวแปรอย่างหนึ่งที่ทำให้โลกนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงคือ  การเติบโตอย่างรวดเร็วของอำนาจของวัตถุนิยม ผู้เขียนเคยได้ยินข่าวไม่นานมานี้ว่า วัยรุ่นจีนคนหนึ่ง ถึงกับยอมลงทุน ขายไตตัวเองข้างหนึ่ง เพื่อแลกกับการได้มาซึ่ง ไอแพดและไอโฟน !!!  ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟู หลายคนอยากได้อยากมี เพื่อสนองกิเลสตัณหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่ออะไรเหรอ เพื่อเอาไว้ใช้ทำงานเป็นประโยชน์ หรือว่าเพื่ออวดร่ำอวดรวย เห็นคนอื่นมีก็อยากจะมีตาม ทั้ง ๆ ที่ยังหาเงินไม่ได้ หรือ บางทีเงินเดือนจะไม่พอกินพอใช้กันอยู่แล้ว

              เมื่อยุควัตถุนิยมเรืองอำนาจ ใจคนก็เปลี่ยนไป วัฒนธรรมศิลปะอันดีงามของคนยุคก่อน ก็พลอยจะถูกลืมไปด้วย วันก่อนได้ดูรายการสะเก็ดข่าว มีมโนราห์ท่านหนึ่ง ร้องเพลงเป็นวณิพก สวมชุดพรานบุญใส่หน้ากากพ่อทวดพรานบุญ ย่านรามคำแหง ผู้เขียนเห็นแล้วก็จำได้ เพราะเคยพบเจอแถว สวนจตุจักร แล้วก็ได้สัมภาษณ์ความเป็นมาของชีวิตของเขา เขาเล่าว่า เป็นคนนครศรีธรรมราช สืบทอดศาสตร์มโนราห์มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ด้วยความที่เห็นแต่เด็กจึงเรียนรู้ซึมซับ จนสามารถแสดงมโนราห์ได้ แต่ว่ายุคสังคมเปลี่ยนไป คนเริ่มสนใจกันน้อยลง รายได้ก็น้อยลง จนอยู่ไม่ได้จนต้องมาร่อนเรพเนจรหากินใน กรุงเทพ  นี้แหละสิ่งที่กำลังเป็นไปในยุคนี้ ศาสตร์มโนราห์ ที่อยู่กันในภาคใต้ ถ้าเป็นแบบดั้งเดิมจริง ๆ แทบจะหากันไม่ได้แล้ว มีแต่วงมโนราห์ประยุกต์ ที่นำเอาลูกเล่นต่าง ๆ มาประกอบการแสดง เพื่อสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของของมนุษย์ยุคนี้ ถ้าไม่ทำก็อยู่กันไม่ได้ !!!

    รายการสะเก็ดข่าว-------> http://www.bugaboo.tv/embed/8163





10 ก.พ. 2555

0

แก้ชงปี 2555



                   ทำนายดวงปีมะโรง 2555 ตาม ปีใน 12 นักษัตร องค์ไท้ส่วยคุ้มครองดวงชะตา  มีพระนามว่า แผ่ไท่ไต่เจียงกุง ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่า พระองค์สามารถบันดาลสุขหรือทุกข์ให้เกิดกับใครคนใดก็ได้ทั้งนั้น แต่เบื้องต้นคน ที่ควรไปกราบไหว้บูชาหรือทำการแก้เคล็ดที่สุด เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตและเพื่อให้รอดพ้นจากอิทธิพลร้ายใน ช่วงปี 2555 หลักโหรราศาสตร์จีนปีชง 2555  คือ คนที่เกิด ปีจอ  ปีมะโรง ปีมะแม  ปีเถาะ

1.  แก้ชงสำหรับคนที่เกิดปีจอ ถือเป็นอริ ปะทะโดยตรงกับ องค์ไท้ส่วย อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีอย่างรุนแรง เป็นดวงอริ พิฆาตดวงชะตา
2.    แก้ชงสำหรับคนที่เกิดปีมะโรง ปี ทับไท้ส่วย และยังเข้าเกณฑ์เบียดเบียนกับปีมะโรง ดวงชะตาปี 2555 มี แนวโน้มที่จะพบกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว มักจะได้รับความเดือดร้อนอย่างที่สุด เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบบานปลาย
3.   แก้ชงสำหรับคนที่เกิดปีมะแม ปี ร่วมชงไท้ส่วยอีกปีหนึ่งเช่นกัน มัก ประสบกับปัญหา ผิดหวังซ้ำซาก ติดขัดหลายเรื่อง นอกจากชีวิตจะไม่ค่อยราบรื่นแล้ว ยังต้องพบเจอเรื่องลำบากใจ เสียของรัก
4.   แก้ชงสำหรับคนที่เกิดปีเถาะ ปีให้ร้าย กับปีมะโรง ผลเสียที่เกิดขึ้นมักเป็นเรื่องของสุขภาพ อาจมีปัญหาทั้งหนัก เบาและเป็นๆหายๆ ตลอดทั้งปี

               ตามประเพณีการไหว้ไท้ส่วยเอี๊ยในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ (ตรุษจีน) ของทุกๆปี เพื่อให้ท่านที่มีเกณฑ์ชะตาที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น ส่วนท่านที่ดวงชะตาตกก็จะไม่ย่ำแย่จนเกินไปนักโดยเฉพาะท่านที่เกิดปีชงกับ องค์ไท้ส่วย ทับไท้ส่วย และปีร่วมชงไท้ส่วยทำพิธีแก้ชง ด้วยหงิ่งเตี๋ย 13 คู่ ปัด 13 ครั้ง ทำพิธีที่วัดเล่งเน่ยยี่ (วัดมังกรเจริญกรุง) และ ห้ามไปเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วมพิธีในงานศพ และควรหลีกเลี่ยงการไปงานศพ แต่ถ้าหากไม่สามารถเลี่ยงได้ก็ขอให้ละเว้นการไปดูศพเวลาฝังศพ (เผาศพ) หรือแม้แต่การส่งศพ
ในช่วงต้นปีควรหาเครื่องรางที่เป็นสิริมงคลมาเสริมดวงชะตาอย่างเช่นเครื่องราง ปีนักษัตรที่เสริมตามปีเกิดโดยเฉพาะปีนักษัตรที่ชงทั้ง 4 ปี

1. ปีจอ(สุนัข) ควรหาเครื่องรางของปีนักษัตร มาช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น ปีขาลเสริมดวงเรื่องการงาน
ปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องความคิดปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องความสุข
2.  ปีมะโรง(มังกร,งูใหญ่) ควรหาเครื่องรางของปี นักษัตร มาช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นปีชวด (หนู) เสริมดวงเรื่องความคิดปีวอก (ลิง) เสริมดวงเรื่องความรู้ซึ่งกันและกันปีระกา (ไก่) เสริมดวงเรื่องการเงิน
3.  ปีมะแม(แพะ) ควรหาเครื่องรางของปีนักษัตร มาช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องความคิดปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องความร่ำรวยปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องการเงิน
4.  ปีเถาะ(กระต่าย) ควรหาเครื่องรางของปีนักษัตร มาช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นปีมะแม (แพะ) เสริมดวงเรื่องความสุขปีมะโรง (งูใหญ่) เสริมดวงเรื่องความคิด ปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องการเงิน
อย่างไรก็ดี ผู้ที่เกิดปีมะโรงนี้ความรักจะลุกโชนในช่วงพระจันทร์เต็มดวง ทั้งข้างขึ้น 1 ค่ำและ 15 ค่ำ เป็นคนธาตุน้ำ โดยจะพบรักพิเศษที่ไม่ใช่สเปก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแต่งงานยากมาก คู่ครองจะดูมีอายุแก่กว่า ปีนี้รู้สึกใหม่ ๆ กับความรักมากขึ้น แต่ควรเปิดใจให้กว้างเพื่อรับโอกาสใหม่ ๆ นั้น โดยควรบริจาคน้ำ ถวายน้ำดื่มให้เด็กยากจน หรือสร้างแท็งก์น้ำให้กับวัด โรงเรียน สถานที่ต่าง ๆ แล้วยังจัดวางสิ่งของเช่นปลาหลีฮื้อจำนวน 1 ตัวไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยช่วงมีลุ้นของคนที่เกิดราศีนี้ในปี 2555 นี้

5 ก.พ. 2555

0

วิธีแก้ปากเสีย


วันนี้เก็บธรรมะมาฝากทุกท่าน คงเป็นประโยชน์ต่อตนเองมิน้อยครับ 
 
วิธีแก้ปากเสีย
(รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวงน)



หลวงพ่อเมตตาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม4) โดยให้หลักไว้ดังนี้


โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง 6 (ประตูทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกาย และธรรมารมณ์)


เพราะอุเบกขา หรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกเป็นปกติ มีผลทำให้กรรมบท 10 หมวดวาจา ไม่เต็มสักที (กรรมบท 10 หมวดวาจา 4 มี ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์)


วิธีปฏิบัติ

แก้โดย

1) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด

2) หรือพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด

3) พยายามดึงจิต อย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้นๆ)

4) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้นๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา)

5) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวจะสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้ว จะรู้ว่า คำพูดนั้นๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือ ควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย โดยไร้ความคิดพิจารณา

6) หากทำตาม 5 ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้างก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล-ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้ สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อ-ไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด


สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาแนะนำต่อ และสั่งสอนต่อ มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

ก) " วาจา เป็นเหตุให้เกิดศัตรู และสร้างศัตรู ผู้รู้พึงกล่าววาจาด้วยความตริดตรองเสียก่อน เพื่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติ-สัมปชัญญะขาดปัญญา จักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองๆ เพราะฉนั้นให้รู้สำรวมวาจาให้มากๆ โดยการพิจารณาเสียก่อนจึงพูด ''


ข) " กำลังใจของคนไม่เท่ากัน จงอย่าไปตำหนิใคร เพราะทำไปหรือตำหนิไปก็รังบแต่จักเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต และสร้างศัตรูขึ้นแก่จิตของผู้อื่น ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำไว้เป็นดีที่สุด แม้จักกล่าวว่าด้วยความหวังดีก็ตาม มันก็เป็นเนื่องด้วยกิเสอยู่ดี"


ค) “ สังขารุเบกขาญาณ เป็นธรรมเบื้องสูง ของผู้ถึงจุดสุดยอดแห่งมรรคผลนิพพาน " ขอให้พวกเจ้าหมั่นซ้อมหมั่นปฏิบัติเข้าไว้ วางอุเบกขาให้ถูกลักษณะของมัชฌิมาปฏิปทา โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐานที่ตั้งของสมาธิและปัญญา ตัว สังขารุเบกขาญาณก็จักเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หมั่นอัตตนา โจทยัตตานัง สอบจิต-สอบกาย-สอบวาจา เข้าไว้ว่า คิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ พูดเช่นนี้ มันผิดหรือถูกในหลักธรรมที่ตถาคตได้สั่งสอนมา พิจารณาให้มาก ๆ

ถ้าผิดก็จงอย่าทำเป็นอันขาด ถ้าถูกก็จงรีบทำด้วยความมั่นใจ ขยัน-พากเพียรเข้าไว้ มรรคผลที่ได้จากการกระทำของตนเองนั้นเป็นของแท้ ดีกว่าฟังคนอื่นพูดหรือเล่าว่า เขาทำเช่นนั้นได้ผลเช่นนี้


ง) มาเถิดเจ้า เข้ามาสู่หลักปฏิบัติธรรม อันเข้าสู่โลกุตรธรรมเบื้องสูงอย่างแท้จริง ตั้งใจไปเลยทิ้งทวนของชีวิตเสี้ยวที่เหลือนี้ให้แก่พระธรรม


ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงหมั่นคุมสติกำหนดรู้กิริยาของกาย-วาจา-ใจให้แน่วแน่มั่นคง อา นาปานัสสติกับคำภาวนา อย่าทิ้งเป็นอันขาด ใครจักพูดอะไร ขอให้มีสติฟังให้ดี ๆ พิจารณาเข้าอิงพระธรรมคำสั่งสอน กลั่นกรองหาสาระให้ได้ แล้วเวลาที่จักพูด ก็จงคิดพิจารณาให้ดีว่ามีสาระหรือไม่ ถ้าไม่มีจงอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด "








(หลวงปู่บุดดา)

“ไอ้คนเรานี้มันก็แปลก ชอบเอาลมปากเผากัน เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ ราคะเผากัน เผาตนเอง เผากาย เผาใจตนเองยังไม่พอ

ชอบเผื่อแผ่ไปเผาชาวบ้าน ชาวช่องเขาด้วย เผาจิตเผากายของเขามันสนุกหรืออย่างไร วิสัยชาวโลก ชอบนินทา-สรรเสริญ ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี ”





จาก : หนังสือธรรมะหลวงพ่อ หลวงฤาษี (พระราชพรหมยาน) และพระอริยเจ้าบางองค์
รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

30 ม.ค. 2555

0

สาวย่าน ครูมโนราห์


                   ปัจจุบันในภาคใต้มีโนราอยู่มากมาย หากถามถึงครูหรืออาจารย์แล้วสาวหาครูต่อไปเรื่อย ๆ จะพบว่าจากครูรุ่นก่อนที่พอจะสาวถึง ได้สอนศิษย์ต่อ ๆ กัน เหมือนต้นไม้ที่แตกออกไปเป็นกิ่งก้านสาขา ครูเหล่านั้นหากสืบสาวประวัติหรือที่คนใต้เรียกว่า “สาวย่าน” ให้ถึงรากหรือต้นตอแล้ว ก็คือครูต้นโนราตามที่เชื่อถือและบูชากันอยู่ ในช่วงเวลาอันยาวนานการ “สาวย่าน” จะชัดเจนไม่เกิน 4-5 ช่วง ซึ่งเป็น “ย่าน” หรือ “สายตระกูล” ที่แยกย่อยออกมาแล้ว
                    เท่าที่ผู้ศึกษาได้เก็บรวบรวมเกี่ยวกับโนรา โดยเน้นหนักในเขตพื้นที่จังหวัด สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราชและตรัง ซึ่งมีโนราอยู่มาก ได้พบสายตระกูลโนราที่มีชื่อเสียงหลายตระกูล ชื่อเรียกแต่ละสายเรียกตามที่โนราเรียกขานกัน โดยแสดงข้อมูลคร่าวๆ ซึ่งจะจบเพียงโนรารุ่นกลางที่แสดงตามธรรมเนีนมโนราแบบดั้งเดิมและบางคนแสดงแบบโนราสมัยใหม่ได้ด้วย ส่วนศิษย์รุ่นหลังซึ่งแสดงแบบใหม่ ผู้ศึกษาไม่ได้แสดงไว้


21 ธ.ค. 2554

0

"ตะกรุดผ่านตลอด" ฟรีสำหรับท่านผู้สนใจจริง


             ทางด้านมโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) จ.ยะลา ครูมโนราห์แดนใต้ ผู้ศึกษาศาสตร์วิชาไสยเวทแดนใต้มานับแต่วัยเยาว์ เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นของผู้คนในภาคใต้ ถึงความขลังเข้มอาคมของท่าน ไม่ว่าจะเป็นวิชาสายมโนราห์ พ่อทวดพรานบุญ วิชาไสยเวทที่ร่ำเรียนมาหลายแห่ง การตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ การกันของ แก้ของ แม้กระทั้งพิธีกรรมไล่ผี ฯลฯ รับรองความไม่เป็นสองรองใคร
            

            มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) ท่านได้ทำ "ตะกรุดผ่านตลอด" โดยท่านจัดสร้างตะกรุด ปลุกเสก เองกับมือ  โดยอัญเชิญพ่อทวดพรานบุญมาในพิธีเพิ่มความขลัง พร้อมทั้งยัดมนต์คาถาลงไป อาทิเช่น มนต์เพชรหลีก มนต์มหาเงินล้าน มนต์พิชิตชัย อันฝอยนั้นเหมาะสำหรับ พ่อค้าแม่ค้าทำมาหากิน ให้รุ่งเรืองเจริญ นักศึกษาที่ต้องสอบแข่งขัน ให้ผ่านตลอด หรือท่านที่ต้องการพกติดตัวป้องกันภัย ปัดอุปสรรค นำโชคลาภ


         ตะกรุดผ่านตลอดของ มโนราห์พิทักษ์ พรหมวาส (หมอเอก) ท่านนำมาให้เพื่อนำมาแจกให้ท่านผู้สนใจฟรี เน้นย้ำขอแค่ผู้สนใจจริง ๆ เราจัดให้ได้คนละหนึ่งดอกเท่านั้น ตะกรุดทั้งหมดมีแค่ 30 ดอก  

         ท่านผู้สนใจให้ท่านโทรมาเช็คก่อนว่าตะกรุดที่ท่านจะบูชาหมดหรือยัง ที่เบอร์ 081-9213208 หลังจากนั้น ให้บอกชื่อและที่อยู่ของท่านมาทางอีเมลของเรา montra.mhw@gmail.com พร้อมโอนเงินค่า EMS เพื่อจัดส่งให้ท่าน 60 บาท (แนะนำให้โอนมีเศษสตางค์ เช่น 60.18 เพื่อทางเราจะได้ทราบตัวตนผู้โอนถูกต้อง)  ทางเราจะจัดส่ง "ตะกรุดผ่านตลอด" พร้อมคาถาและวิธีปลุกเสกให้ท่าน

0

เช็คดวงชะตาของท่านฟรี ตามหลักการดูดวงแดนใต้


         
           ทางเรา มนตราเวท ขอเชิญทุกท่านดูดวงปี 2555 ตามหลักการ การดูดวงแดนใต้ กับทางเรา ฟรี !!! เพียงท่านบอก ชื่อ-นามสกุลจริง วัน เดือน ปี เวลาเกิด และ อีเมล มาในกระทู้แห่งนี้ ทางเราจะเช็คดวงชะตาให้ท่านฟรี รับรองความแม่นยำ...

24 พ.ย. 2554

0

กรณีศึกษาไสยเวท ตอน ศรัทธา จิตมั่น ไม่สงสัย



       

               อย่างที่เคยกล่าวไว้ในเนื้อหาบทความที่ผ่าน ๆ มา เรื่องของการเรียนวิชาไสยเวทให้มีประสิทธิผลนั้น ต้องมีความศรัทธาสูง มีจิตมั่น ไม่ลังเลสงสัย ทางผู้เขียนเองจึงขอยกกรณีศึกษา ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบและเข้าใจอย่างแจ่มชัด โดยจะนำเอาประสบการณ์ที่ผู้เขียนที่ประสบมาให้ท่านผู้อ่านไปทราบตามนี้


                ช่วงชีวิตวัยรุ่นของผู้เขียนเองนั้นมีความศรัทธาในเรื่องไสยเวท ชอบในศาสตร์ของการสักยันต์เป็นอย่างมาก ได้เห็นพิธีกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เช่น พิธีกรรมการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ การเข้าทรงเพื่อติดต่อกับญาติที่ลวงลับไปแล้ว การใช้คาถาของคนสมัยก่อน เป็นต้น จึงมีความเชื่อเรื่องเหล่านี้เป็นทุนเดิม  ผู้เขียนเองเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เริ่มจากการถามเพื่อน ๆ ว่ามีครูบาอาจารย์ที่ไหนบ้างที่สักยันต์ มีเพื่อนคนหนึ่งบอกให้ไปที่วัดนางเหลียว อ.เกาะคา จ. ลำปาง ใกล้ ๆ กับบ้านของผู้เขียนเอง เมื่อถึงที่วัดจึงพบกับหลวงพ่อรูปหนึ่ง เห็นแล้วดูขลังมากในวินาทีแรก เพราะ ท่านมีลายสักยันต์พอสมควร และมีแววตาที่ดูแน่วนิ่งน่าเกรงขาม ท่านถามว่ามาหามีธุระอะไร จึงตอบไปว่า ต้องการมาสักยันต์กับท่าน ท่านก็เลยให้ไปที่หลังโบรถ์เพื่อทำการสักยันต์ครอบครูให้ จากวันนั้นทางผู้เขียนเองก็แวะเวียนไปหาท่านเป็นประจำเพื่อสักยันต์และขอเรียนถาคาอาคม


                ผ่านไป 2  ปี มีอยู่วันหนึ่งไปแวะเวียนหาท่านเช่นเคย ท่านเห็นว่าเป็นลูกศิษย์มานาน แต่ยังมีข้อสงสัยในวิชาไสยเวทอย่างมาก ท่านจึงบอกให้นำขวดแก้วมา 1 ใบแล้วนำขวดแก้วนั้นทุบให้แตก เลือกเศษแก้วที่คมที่สุดมาให้ท่าน จากนั้นท่านก็บริกรรมคาถา แล้วนำเศษแก้วนั้นกรีดที่แขนท่านไปมาหลายครั้ง แต่ไม่ปรากฏว่าแขนมีรอยแต่อย่างใด ทางผู้เขียนเองรู้สึกอึ้ง ทึ่ง เสียว อย่างมาก ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นท่านก็สอนวิชาให้ เรียกว่าวิชากันคมแก้ว โดยบอกว่าให้ทำจิตให้ตั้งมั่น ไม่สงสัยในวิชา ภาวนาคาถา 4 ตัว แล้วเป่าคาถาไปยังเศษแก้ว เมื่อสอนวิชาให้เรียบร้อยท่านก็ให้ทดสอบกับแขนผมเองเลย สภาวะจิตตอนนั้นของผู้ขียนเองตอนนั้นนอกจาก อึ้ง ทึ่ง เสียว อย่างที่บอกส่งผลทำให้จิตตก เลยกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะทำ และในใจเองก็ยังคิดว่าถ้าเข้าละจะทำไง ทำใจอยู่นานแต่สุดท้ายก็ทดสอบทำดู ผลปรากฎเป็นอย่างไรรู้ไหมครับท่านผู้อ่าน ผู้เขียนนำเศษแก้วที่คม ๆ มากรีดแขนตัวเอง 3 ครั้ง ……..เข้าเนื้อเลยครับ เลือดนี่ไหลเป็นสายเลย ท่านพระอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงนำสีผึ้งมาบริกรรมคาถาแล้วทาที่แผลเลืดจึงหยุดไหล  หลังจากนั้นท่านจึงให้ทำอีกครั้ง เพื่อขจัดความสงสัยในตัวศิษย์ พระอาจารย์ท่านเน้นย้ำว่าให้ตั้งจิตให้มั่น แน่วแน่และอย่าสงสัย อย่ากลัว ทางผู้เขียนเองจึงลองดูอีกครั้งโดยทำสภาวะจิตให้ได้อย่างที่พระอาจารย์ท่านบอก ปรากฎว่าครั้งที่สอง แก้วที่กรีดลงบนแขนไม่ละคายผิวแต่อย่างใด อย่างมากแค่เป็นรอยยางบอน  จากวันนั้นเป็นต้นมาทางผู้เขียนเองจึงเชื่อในศาสตร์นี้อย่างไม่เคลือบแคลงใจ ทั้งยังเป็นประสบการณ์ที่ดีในเรื่องการศึกษาศาสตร์ไสยเวทต่อไป


                จากกรณีศึกษาข้างต้น ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าการทำวิชาไสยเวทให้ขลังนั้น ต้องมี ศรัทธา จิตมั่น ไม่สงสัย จึงเกิดผล ติดตามกรณีศึกษาไสยเวทอื่น ๆ ได้ในตอนต่อไปครับ


+++บทความข้างต้นเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล+++

22 พ.ย. 2554

0

จำแนกประเภทของผู้เรียนไสยศาสตร์


          
           การเรียนไสยศาสตร์ให้สัมฤทธิ์ผลนั้น เป็นเรื่องของการฝึกจิตให้เกิดสมาธิผนวกกับอำนาจของแรงครูและศรัทธาของตัว ผู้เรียนเอง ตามหลักการแล้วเราสามารถจำแนกประเภทของผู้เรียนไสยศาสตร์ ได้สามประเภท ซึ่งจะเกิดสัมฤทธิ์ผลได้สองประเภทตามนี้

           ประเภทที่ 1 เรียกว่าพวกโง่ที่สุด คือมีการศึกษาวิชาไสยศาสตร์น้อย แต่มีศรัทธาสูง มีจิตมั่นในไสยเวท อาจารย์สั่งอะไรก็เชื่อตามนั้น ไม่ลังเลสงสัย สามารถเสกคาถาอาคมให้เกิดผลสำเร็จตามปราถนาได้ แสดงฤทธิ์ได้ จะยกตัวอย่างให้เข้าใจชัดเจนตามนี้  เกี่ยวกับ คำบริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา แยะ"  มีพระรูปหนึ่งเรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง โดยให้บริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" แต่พระรูปนั้น ท่านจำผิดว่า "นะ โม พุท ธา แยะ" เมื่อท่านเข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่า ด้วยคาถา นะ โม พุท ธา แยะนี้ ท่านสามารถเนรมิตสิ่งต่างๆ ได้ สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำบริกรรมที่ผิด แต่เพราะความศรัทธาและมั่นใจในตัวคาถาตลอดจนครูบาอาจารย์ จึงทำให้ท่านไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างจึงสัมฤทธิ์ผล จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคณะพระภิกษุเข้าไปธุดงค์ในป่า ไปพบภิกษุรูปนี้เข้า ท่านเองจึงเนรมิตสิ่งต่างๆ ถวาย ด้วยฤทธิ์ที่เกิดจากการบริกรรมพระคาถา "นะ โม พุท ธา แยะ" นี้เอง เพื่อเป็นการต้อนรับ ทำให้คณะพระธุดงค์เกิดความเลื่อมใส จึงถามว่า ท่านบริกรรมคาถาอะไรถึงได้เก่งขนาดนี้ พระองค์นี้จึงตอบว่า นะ โม พุท ธา แยะคณะพระธุดงค์ถึงกับตกใจ และตอบไปว่า ท่านท่องคาถามาผิดแล้วนะ อันที่จริงต้องท่องว่า นะ โม พุท ธา ยะต่างหาก พระรูปนี้ถึงกับจิตตกที่ตนท่องผิด เมื่อจิตมีความเศร้าหมอง การแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ จึงไม่เป็นผล ท่านเกิดความร้อนใจ จึงรีบออกจากป่าไปหาพระอาจารย์ที่เคยเรียนวิชามา เมื่อไปถึง ท่านจึงถามพระอาจารย์ว่า ผมท่องคำบริกรรมผิดหรือครับ ด้วยความฉลาดของพระอาจารย์ ท่านรู้ว่าถ้าตอบตรงๆ จะทำให้เสียหายใหญ่ จึงตอบว่า ที่ว่า นะ โม พุท ธา ยะนั้น เป็นตัวผู้ ที่ว่า นะ โม พุท ธา แยะนั้น เป็นตัวเมีย จะใช้อย่างไหนก็ได้เหมือนกัน ที่ตอบอย่างนี้ก็เป็นการรักษากำลังใจไม่ให้จิตตก เมื่อพระลูกศิษย์ได้รับคำตอบแล้ว รู้สึกดีใจ จึงรีบกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อท่านเข้าใจว่าคำบริกรรมทั้งสองนั้นไม่ผิด จิตของท่านจึงไม่มีความกังวลใดๆ ความผ่องใสแห่งจิตจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ว่าจะบริกรรมด้วยคาถาใดก็ตาม สามารถแสดงฤทธิ์ได้ทั้งนั้น ดังนั้น ความศรัทธาสูงและมั่นในพระคาถา จึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียน

           ประเภทที่ 2 เรียกว่าพวก เชื่อครึ่งๆ กลางๆ มีความลังเลสงสัยมาก กล่าวคือมีการศึกษามาก ทำให้ลังเลสงสัยในเรื่องจิตและวิชาไสยศาสตร์ กังวลว่าเสกแบบนี้แล้วจะเป็นไปตามคำสั่งอาจารย์จริงหรือเปล่า หรือเรียนวิชามาหลายแห่งแต่ข้อมูลที่ได้มาไม่เหมือนกัน เช่นเรียนวิชาเดียวกันแต่วิธีการต่างกัน ทำให้เกิดสงสัยในตัววิชา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นลดลง และทำให้อำนาจจิตลดลงด้วยเช่นกัน  คนประเภทนี้จึงเรียนให้สัมฤทธิ์ผลได้ยาก นอกจากจะพัฒนามาเป็นประเภทที่ 3

           ประเภทที่ 3 เรียกว่าพวกฉลาดที่สุด พวก นี้มีความเข้าใจเรื่องจิต เรื่องคุณพระ รักพระพุทธเจ้า รักครูบาอาจารย์จริงๆ เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รู้ที่มาของอักขระตัวคาถา ว่ามาจากไหน เหตุใดตัวคาถาไม่กี่ตัว จึงมีอิทธิปาฏิหาริย์มากนัก เข้าถึงความมหัศจรรย์แห่งจิต สามารถสัมผัสพลังคุณพระได้ จิตจึงไม่มีความลังเลสงสัย เพราะได้ทำการค้นคว้าหาเหตุผลอยู่ตลอดเวลาจนเข้าใจ และเข้าถึงคุณพระ สามารถเสกคาถาอาคมให้เกิดผลสำเร็จตามปราถนาได้ แสดงฤทธิ์ได้เหนือล้ำกว่าประเภทแรก และมีความพิศดารมากกว่า

21 พ.ย. 2554

0

ความเข้าใจผิดในวิชาไสยศาสตร์ ที่คนทั้วไปไม่รู้



                   เหตุที่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้เพราะสมัยนี้คนไม่เข้าใจวิชาไสยศาสตร์ โดยเฉพาะไสยศาสตร์ด้านเสน่ห์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นศาสตร์ลามก ที่จริงแล้วผู้ปฎิบัตินั้่นแหละลามก ตัววิชาไม่ได้ลามกเสื่อมเสียเลย เพราะคนทั้งหลายไม่รู้และเข้าใจในวิชาต่างๆเหล่านี้ จึงต้องเสียตัวเสียเงินให้กับหมอเสน่ห์ ที่ไม่มีคุณธรรมเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ทั้งลือกันไปต่างๆ นานา ว่าถ้าฝึกวิชาไสยศาสตร์มากๆ แล้วจะเป็นบ้าบ้าง ร้อนวิชาบ้าง เป็นเหตุให้คนทั้งโลกประณามวิชาไสยศาสตร์ว่าเป็นเดรัจฉานวิชา ทั้งที่จริงๆแล้วเดรัจฉาน แปลว่า ขวาง เดรัจฉานวิชาจึงแปลว่าวิชาที่ขวางทางไปพระนิพพาน กล่าวถึงที่สุดคือเรียกว่าอวิชชา คือความไม่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้ววิชาที่ไม่เป็นเดรัจฉานวิชานั้นมีเพียงวิชา สมถะกรรมฐานและวิชาวิปัสสนากรรมฐาน เพียงสองวิชาเท่านั้น ที่จะทำให้สัตว์โลกไม่ติดกับกิเลส ไม่ติดในกองทุกข์ และไม่ติดอยู่ในโลก ส่วนวิชาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิชาคณิตศาสตร์ การเงิน การบัญชี วิทยาศาสตร์ กราฟฟิคดีไซด์ การทหาร ศิลปะศาสตร์ นิเทศศาสตร์ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้สัตว์ติดอยู่ในโลก ต้องคอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หลงติดอยู่ในอำนาจ คอยแต่จะประหัตประหารกัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน ข่มเหงรังแกมนุษย์ด้วยกันตลอดจนถึงสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ก็ถูกมนุษย์รังแกอย่าง แสนสาหัส ซึ่งวิชาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น เป็นอวิชชาทั้งหมด เพราะทำให้สัตว์ติดอยู่ในโลกติดอยู่ในสงสาร วนเวียนแบบนี้เรื่อยไปนับเป็นกัปล์ เป็นอสงค์ไขย มนุษย์ทั้งหลายก็ยังคงสรรเสริญความรู้เหล่านี้ว่าดีเลิศประเสริฐศรี ปล่อยให้กิเลสมันหลอกอยู่อย่างนี้มาตลอด วิชาไสยศาสตร์เสียอีกที่ชักนำให้ต้องฝึกสมาธิ ใช้สมถะกรรมฐานเป็นบาทฐานแห่งพลังจิต เหมือนหลอกเด็กว่าจะให้กินขนม แต่ต้องกินยาเสียก่อน คือต้องฝึกสมาธิก่อนแล้วค่อยใช้คาถาอาคมจึงจะได้ผล ต้องทำจิตให้เข้าถึงคุณพระเสียก่อนจึงจะสามารถดึงแรงครูมาใช้ให้เกิดฤทธิ์ได้ สอนให้ศิษย์เจริญอานาปานสติภาวนามัยอยู่เสมอ ระลึกถึงคุณพระเสมอ จิตของศิษย์ก็จะอ่อนน้อมเข้าสู่กระแสธรรมเองโดยอัตโนมัติ และยิ่งมีกำลังสมาธิสูงมากเท่าไหร่ คุณธรรมในใจที่เพาะบ่มในใจก็จะเติบโตขึ้นมาเท่านั้น จนท้ายที่สุดก็จะละวางวิชาไสยศาสตร์ลงไปเองโดยปริยาย และจะฝึกเพื่อละวางกิเลสโดยตรงอย่างเดียว เท่าที่เห็นครูบาอาจารย์ทางไสยศาสตร์หลายๆท่านก็จะเป็นไปตามนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น คุณพ่อ อ.ชุม ไชยคีรี,อ.ฟ้อน ดีสว่าง,อ.เทพย์ สาริกบุตร,หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท ฯลฯ เพราะว่าพระนิพพานเป็นปลายทางของทุกคน

19 พ.ย. 2554

0

หลักการใช้คาถาอาคมให้ขลัง


 ต่อไปนี้เป็นหลักการสำคัญในการที่จะทำให้มนต์คาถาของเรามีความขลังและใช้ได้

1. มีสมาธิ ไม่สนใจในสิ่งรอบข้างที่รบกวน  โดยมีใจมุ่งมั่นจดจ่อในคาถาที่ตนบริกรรมอยู่ และควรนึกสมาธิเป็นนิตย์เพื่อเป็นการเพิ่มพลังในเรื่องของอำนาจจิต

2. ปรุงแต่งจิต ให้เป็นไปตามชนิดของคาถานั้น ๆ  เช่น 
    -  คาถาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม  ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นเมตตา  ไม่แข็งกระด้าง  ไม่เหี้ยมเกรียม
    -  คาถาคงกระพันชาตรี  ต้องสร้างอารมณ์ให้ห้าวหาญ  และแข็งกระด้าง  เหี้ยมเกรียม  โดยยึดความกล้าเป็นอารมณ์
    -  คาถาแคล้วคลาด  ต้องสร้างอารมณ์ให้เป็นสมาธิอย่างแรงกล้า  และห้าวหาญ

3. ความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้า ในครูบาอาจารย์และคาถาอาคมที่ตนต้องการจะใช้ 
0

ภูมิวิชาไสยศาสตร์


            
            ไสยศาสตร์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ  และยังมีคนมากมายในโลกที่ยังสงสัยว่า  "ไสยศาสตร์" นั้นคืออะไร  กำเนิดมาจากไหน  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยังคาใจของท่านทั้งหลายที่ต่างก็อยากรู้ในวิชาแขนงนี้ ฉะนั้นเมื่ออยากรู้จึงต้องเสาะหาผู้ที่รู้จริงซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง  ซึ่งมีมากมายหลายแขนงให้ศึกษาเกี่ยวกับความลี้ลับของวิชาไสยศาสตร์และผู้ที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังนั้นจะต้องเป็นผู้มีความชอบหรือความรักทางด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะเรียนได้ และสามารถนำมาใช้ได้จริงจึงต้องมีความพยายามเป็นอย่าง
มากในการฝึกฝน

            เมื่อมาถึงตรงนี้เรามาเข้าเรื่องของวิชาไสยศาสตร์นั้น มี 2 ประเภท คือ

สายดำ คือ เดรัจฉาวิชา  เรียนแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ  คือ  นำมาทำร้ายคนอื่นๆ ด้วยวิชาที่ตนมี เช่น  เสกหนังควายเข้าท้อง , ทำเสน่ห์ยาแฝด , ทำให้ผัวเมียเลิกกัน  โดยอาศัยเดรัจฉาวิชาคนพวกนี้เมื่อตายไป แล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง  เพราะต้องตกนรกอเวจี  และต้องใช้กรรมเป็นอย่างมาก

สายขาว  คือ   วิชาพุทธคุณ  เรียนแล้วนำไปใช้ในการช่วยรักษาคนที่โดนกระทำด้วยคุณไสยศาสตร์ต่างๆ   โดยมีหลักของศีล 5 เป็นหลัก  วิชาพุทธคุณนี้ ช่วยผู้ที่ตกทุกข์  ร้อนใจต่างๆให้พ้นจากทุกข์  โดยใช้วิชาพุทธคุณในการช่วยเหลือ  ใช้คาถาต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านได้นำแสดงไว้มาใช้ให้เกิดความขลังในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดเป็นเมตตามหาเสน่ห์, มหานิยม, มหาอำนาจ, โภคทรัพย์  โดยการนำมาสักนำมาเขียน, นำมาเป่า, นำมาเสก ลงสู่ร่างกาย



คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียนไสยศาสตร์ได้สำเร็จ คือ

1. เป็นผู้ที่มีความสนใจอย่างจริงจัง
2. ต้องมีความอดทนอย่างยิ่งยวด
3. ต้องเป็นผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างที่สุด
4. ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้เรียนและได้ใช้อย่างไม่แคลงใจ

          ผู้ที่สนใจอยากศึกษาไสยศาสตร์  ท่านต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยต้องยึดหลักความจริงของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักและต้องเชื่อเรื่องของกรรมดี-กรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาไสยศาสตร์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีสาง , เทวดา , เทพ , พรหมต่างๆ  ล้วนมีอยู่จริงในหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น  และท่านที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์ได้นั้นต้องเป็น

          ผู้ที่ผ่านการฝึกจิต-สมาธิมาเป็นอย่างดี  จนสามารถนำพลังงานที่มีอยู่ในตัวและในโลกมาใช้ได้ในรูปแบบต่างๆ  เช่นดังพระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆที่สามารถนำพลังงานต่างๆมาประจุลงเครื่องรางและของขลังต่างๆเพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมีแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่าน และท่านทั้งหลายยังจะสามารถนำพลังงานที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ  เช่นดังที่มีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า  ที่ท่านสามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่ายและเสกคนเป็นจระเข้ได้อย่างน่าแปลกใจ  ท่านที่ต้องการศึกษาไสยศาสตร์ ท่านต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในคาถาอาคมต่างๆ และต้องเป็นผู้ใฝ่หาครูบาอาจารย์ที่จะมาให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับตนเองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่   ตนเอง หรือที่เรียกว่า ของเข้าตัว



 หลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย
ท่านผู้สนใจในวิชาไสยศาสตร์พึงจะต้องรู้จักหลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย  มีดังนี้
1. มฤคเวท  เป็นการสวดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
2. ยชุรเวท  เป็นการสวดอ้อนวอนพระเจ้า
3. สามเวท  ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4. อถรรพเวท  เป็นเวทมนตร์คาถาเรียกผีสางเทวดาให้มาช่วยป้องกันอันตราย
และมีการแก้อาถรรพณ์ต่างๆในวิชาอาถรรพณ์

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อถรรพเวทเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก 

คัมภีร์อถรรพเวทแบ่งออกเป็น 8 สายย่อยอีกด้วย  มีดังนี้

วิชาแก้โรคต่างๆ  อาคมประเภทนี้ใช้เป่ารักษาโรคต่างๆให้หายได้

วิชามหาประสาน  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าบาดแผลให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
และยังสามารถใช้ประสานกระดูกได้อีกด้วย ในปัจจุบันยังมีคนนำวิชานี้มาใช้อยู่

วิชาสะเดาะ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าสิ่งของให้หลุดออกจากกัน เช่น สะเดาะกุญแจ,
โซ่ตรวน, สะเดาะลูกในครรภ์ของมารดา แม้แต่ก้างติดคอก็ยังใช้อาคมบทนี้

วิชาป้องกันตัว  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อให้เกิด
ความเป็นคงกระพันชาตรี  ฟันแทงไม่เข้าคงทนต่ออาวุธทั้งปวง และให้แคล้วคลาด
จากอันตรายทั้งปวง

 5 วิชาแสดงปาฏิหาริย์  อาคมประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้
เช่น  ล่องหน, กำบังกาย, หายตัวดำดิน เดินบนน้ำและอากาศ, ย่นระยะทาง, ลุยไฟ, แปลงกาย 
ผู้ที่มีวิชานี้สามารถทำได้หลายอย่าง

วิชาคุณไสยทำอันตรายผู้อื่น อาคมประเภทนี้ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บและตายได้ แล้วแต่
ความต้องการของผู้กระทำหรือผู้จ้างวาน เช่น  เสกหนังควายเข้าท้อง, เสกมีดเข้าท้อง,
เสกตะปูเข้าท้อง, เสกกระดูกผีเข้าท้อง  เป็นต้น

วิชาแก้คุณไสยและแก้ภูตผีปีศา  อาคมประเภทนี้ใช้เป่าและแก้การถูกกระทำด้วย
ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสกตะปู, มีด และกระดูกผี วิชานี้สามารถใช้แก้และรักษาได้

วิชาการทำเสน่ห์  อาคมประเภทนี้ใช้เสกเป่าสิ่งของและของกิน รวมทั้งคนให้มาหลงไหล
มารัก มาหลงตนเอง  เรียกวิชานี้ว่า  “  วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม  ”

วิชาเหล่านี้มีความสำคัญต่างกันและผู้ที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์นั้นก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้ตามที่ตนสนใจ แต่ควรรู้จักให้ครบทั้ง 8 สายวิชา  เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน


        
ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต

            เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย  ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง  และอื่นๆอีกมากมาย

วิชาคงกระพันชาตรี  

         เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง  บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหนก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา  แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผลให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลมแทงสวนทวารอย่างเดียว
  

วิชาปูนคาดคอ  
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว  
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำว่าน 
วิชานี้ใช้อาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำมันเดือด  
วิชานี้ใช้เสกอาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี  แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

วิชาเสกฝุ่นทาตัว 
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี   ในบางทีเรียกว่า  “ หนุมารคลุกฝุ่น

วิชาสักยันต์  
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเขียนยันต์  
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ,
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ 
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาชาตรี 
 คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม  วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน
เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่ 
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น
ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย  เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบ
ตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา 
วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา  และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว 
เรียกว่า  “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม

วิชาแคล้วคลาด 
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี  เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย
จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ  ไม่โดน 
และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป 
โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลัง
และลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย  วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่
เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย

วิชามหาอุด 
วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ  “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้
โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย 
วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด  ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า  เป็นต้น

วิชาแต่งคน 

วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้
คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก  ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
 
วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย 
มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชาในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย

Post & Comment

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม