ไสยศาสตร์นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังมีคนมากมายในโลกที่ยังสงสัยว่า "ไสยศาสตร์" นั้นคืออะไร กำเนิดมาจากไหน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยังคาใจของท่านทั้งหลายที่ต่างก็อยากรู้ในวิชาแขนงนี้ ฉะนั้นเมื่ออยากรู้จึงต้องเสาะหาผู้ที่รู้จริงซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งมีมากมายหลายแขนงให้ศึกษาเกี่ยวกับความลี้ลับของวิชาไสยศาสตร์และผู้ที่จะเรียนรู้อย่างจริงจังนั้นจะต้องเป็นผู้มีความชอบหรือความรักทางด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะเรียนได้ และสามารถนำมาใช้ได้จริงจึงต้องมีความพยายามเป็นอย่าง
มากในการฝึกฝน
เมื่อมาถึงตรงนี้เรามาเข้าเรื่องของวิชาไสยศาสตร์นั้น มี 2 ประเภท คือ
สายดำ คือ เดรัจฉาวิชา เรียนแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ คือ นำมาทำร้ายคนอื่นๆ ด้วยวิชาที่ตนมี เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง , ทำเสน่ห์ยาแฝด , ทำให้ผัวเมียเลิกกัน โดยอาศัยเดรัจฉาวิชาคนพวกนี้เมื่อตายไป แล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะต้องตกนรกอเวจี และต้องใช้กรรมเป็นอย่างมาก
สายขาว คือ วิชาพุทธคุณ เรียนแล้วนำไปใช้ในการช่วยรักษาคนที่โดนกระทำด้วยคุณไสยศาสตร์ต่างๆ โดยมีหลักของศีล 5 เป็นหลัก วิชาพุทธคุณนี้ ช่วยผู้ที่ตกทุกข์ ร้อนใจต่างๆให้พ้นจากทุกข์ โดยใช้วิชาพุทธคุณในการช่วยเหลือ ใช้คาถาต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านได้นำแสดงไว้มาใช้ให้เกิดความขลังในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดเป็นเมตตามหาเสน่ห์, มหานิยม, มหาอำนาจ, โภคทรัพย์ โดยการนำมาสัก, นำมาเขียน, นำมาเป่า, นำมาเสก ลงสู่ร่างกาย
คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียนไสยศาสตร์ได้สำเร็จ คือ
1. เป็นผู้ที่มีความสนใจอย่างจริงจัง
2. ต้องมีความอดทนอย่างยิ่งยวด
3. ต้องเป็นผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างที่สุด
4. ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้เรียนและได้ใช้อย่างไม่แคลงใจ
ผู้ที่สนใจอยากศึกษาไสยศาสตร์ ท่านต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยต้องยึดหลักความจริงของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักและต้องเชื่อเรื่องของกรรมดี-กรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาไสยศาสตร์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีสาง , เทวดา , เทพ , พรหมต่างๆ ล้วนมีอยู่จริงในหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น และท่านที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์ได้นั้นต้องเป็น
ผู้ที่ผ่านการฝึกจิต-สมาธิมาเป็นอย่างดี จนสามารถนำพลังงานที่มีอยู่ในตัวและในโลกมาใช้ได้ในรูปแบบต่างๆ เช่นดังพระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆที่สามารถนำพลังงานต่างๆมาประจุลงเครื่องรางและของขลังต่างๆเพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมีแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่าน และท่านทั้งหลายยังจะสามารถนำพลังงานที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่นดังที่มีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ท่านสามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่ายและเสกคนเป็นจระเข้ได้อย่างน่าแปลกใจ ท่านที่ต้องการศึกษาไสยศาสตร์ ท่านต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในคาถาอาคมต่างๆ และต้องเป็นผู้ใฝ่หาครูบาอาจารย์ที่จะมาให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับตนเองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ ตนเอง หรือที่เรียกว่า “ ของเข้าตัว ”
หลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย
ท่านผู้สนใจในวิชาไสยศาสตร์พึงจะต้องรู้จักหลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย มีดังนี้
1. มฤคเวท เป็นการสวดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
2. ยชุรเวท เป็นการสวดอ้อนวอนพระเจ้า
3. สามเวท ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4. อถรรพเวท เป็นเวทมนตร์คาถาเรียกผีสางเทวดาให้มาช่วยป้องกันอันตราย
และมีการแก้อาถรรพณ์ต่างๆในวิชาอาถรรพณ์
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อถรรพเวทเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก
คัมภีร์อถรรพเวทแบ่งออกเป็น 8 สายย่อยอีกด้วย มีดังนี้
1 วิชาแก้โรคต่างๆ อาคมประเภทนี้ใช้เป่ารักษาโรคต่างๆให้หายได้
2 วิชามหาประสาน อาคมประเภทนี้ใช้เป่าบาดแผลให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
และยังสามารถใช้ประสานกระดูกได้อีกด้วย ในปัจจุบันยังมีคนนำวิชานี้มาใช้อยู่
3 วิชาสะเดาะ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าสิ่งของให้หลุดออกจากกัน เช่น สะเดาะกุญแจ,
โซ่ตรวน, สะเดาะลูกในครรภ์ของมารดา แม้แต่ก้างติดคอก็ยังใช้อาคมบทนี้
4 วิชาป้องกันตัว อาคมประเภทนี้ใช้เป่าปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อให้เกิด
ความเป็นคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้าคงทนต่ออาวุธทั้งปวง และให้แคล้วคลาด
จากอันตรายทั้งปวง
5 วิชาแสดงปาฏิหาริย์ อาคมประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้
เช่น ล่องหน, กำบังกาย, หายตัวดำดิน เดินบนน้ำและอากาศ, ย่นระยะทาง, ลุยไฟ, แปลงกาย
ผู้ที่มีวิชานี้สามารถทำได้หลายอย่าง
6 วิชาคุณไสยทำอันตรายผู้อื่น อาคมประเภทนี้ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บและตายได้ แล้วแต่
ความต้องการของผู้กระทำหรือผู้จ้างวาน เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง, เสกมีดเข้าท้อง,
เสกตะปูเข้าท้อง, เสกกระดูกผีเข้าท้อง เป็นต้น
7 วิชาแก้คุณไสยและแก้ภูตผีปีศาจ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าและแก้การถูกกระทำด้วย
ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสกตะปู, มีด และกระดูกผี วิชานี้สามารถใช้แก้และรักษาได้
8 วิชาการทำเสน่ห์ อาคมประเภทนี้ใช้เสกเป่าสิ่งของและของกิน รวมทั้งคนให้มาหลงไหล
มารัก มาหลงตนเอง เรียกวิชานี้ว่า “ วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม ”
วิชาเหล่านี้มีความสำคัญต่างกันและผู้ที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์นั้นก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้ตามที่ตนสนใจ แต่ควรรู้จักให้ครบทั้ง 8 สายวิชา เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน
ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต
เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง และอื่นๆอีกมากมาย
วิชาคงกระพันชาตรี
เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหนก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผลให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลมแทงสวนทวารอย่างเดียว
วิชาปูนคาดคอ
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาอาบน้ำว่าน
วิชานี้ใช้อาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาอาบน้ำมันเดือด
วิชานี้ใช้เสกอาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
วิชาเสกฝุ่นทาตัว
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี ในบางทีเรียกว่า “ หนุมารคลุกฝุ่น ”
วิชาสักยันต์
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเขียนยันต์
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ,
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาชาตรี
คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน
เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น
ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบ
ตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา
วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว
เรียกว่า “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม
วิชาแคล้วคลาด
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย
จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ ไม่โดน
และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป
โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลัง
และลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่
เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย
วิชามหาอุด
วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้
โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย
วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า เป็นต้น
วิชาแต่งคน
วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้
คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย
มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชาในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”