ตำนานนี้เป็นตำนานละครชาตรีของกรมศิลปากร ปรากฏในหนังสือดนตรีและนาฏศิลป์ไทย สรุปความดังนี้ครับ
ท้าวทศวงศ์ นางสุวรรณดารา ครองกรุงศรีอยุธยา มีธิดาชื่อนางนวลสำลี ครั้นนางนวลสำลีเจริญวัย เทพยาดาได้มาปฏิสนธิในครรภ์นางโดยที่นางไม่ได้มีสวามี ความทราบถึงท้าวทศวงศ์ จึงทรงให้โหรทำนาย ได้ความว่าชะตาบ้านเมืองจะบังเกิดนักเลงชาตรี ท้าวทศวงศ์เกรงว่าจะอับอายแก่ชาวเมือง จึงให้เอานางไปลอยแพไปเสีย เทพยดาบันดาลให้แพไปติดเกาะสีชังแล้วเนรมิตรศาลาให้นางอยู่อาศัย เมื่อครรภ์ครบทศมาสก็ประสูตรพระโอรส เทพยดานำดอกทณฑาสวรรค์มาชุบเป็นนางสนมชื่อ แม่ศรีมาลา แล้วชุบแม่เพียน แม่เภา เป็นพี่เลี้ยง ต่อมานางศรีมาลาและที่เลี้ยงพากุมารไปเที่ยวป่า ได้เห็นกินนรร่ายรำในสระน้ำอโนตัดก็จดจำได้
เมื่อกุมารอายุได้ 9 ปี เทพยดาให้พระนามว่า พระเทพสิงหร แล้วเทพยดาเอาศิลามาชุบเป็นพรานบุญ พร้อมกับชุบหน้ากากพรานให้ด้วย พรานบุญเล่นรำกับพระเทพสิงหรได้ขวบปีก็พากันไปเที่ยวในป่า ขณะตอนหลับใต้ต้นไม้ เทพยดาก็มาบอกท่ารำให้ 12 ท่า มีท่าแม่ลาย ท่าเขาควาย ท่ากินนร ท่าจับระบำ ท่าลงฉาก ท่าฉากน้อย ท่าผาหลา ท่าบัวตูม ท่าบัวบาน ท่าบัวแย้ม ท่าแมงมุมชักใย ทั้งยังเนรมิตรทับ ให้ 2 ใบ ชื่อน้ำตาตก กับ นกเขาขัน เนรมิตรกลองใบหนึ่งให้ชื่อ เภรีสุวรรณโลก แล้วชุบขุนศรัทธาให้เป็นครูโนรา เมื่อเทพสิงหร และพรานบุญตื่นขุนมาพบเห็นขุนศรัทธา ทับ และกลองก็ยินดี ชวนกันกลับศาลาที่พัก จากนั้นเทพยดาเนรมิตรเรือให้รำหนึ่ง บุคคลทั้งหมดจึงได้อาศัยเรือกลับอยุธยา เที่ยวเล่นรำจนลือกันไปทั่วว่าชาตรีรำดีนัก ท้าวทศวงศ์จึงส่งให้เข้าเฝ้า ทอดพระเนตรเห็นนางนวลสำลีจึงจำได้ ตรัสถามถึงความหนหลังแล้วโปรดปราน จึงประทานเครื่องต้นให้พระเทพสิงหรใช้เล่นชาตรีด้วย
0 comments:
แสดงความคิดเห็น