จาก ตำนานทั้ง 5 ตำนานที่ได้นำเสนอไป ได้มีผู้แสดงความคิดเห็นเรื่องราวความเป็นมาของ โนรา ไว้หลายท่าน ที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ
คุณ เยี่ยมยง สุรกิจบรรหาร และ คุณ ภิญโญ จิตต์ธรรม ได้พิจารณาตำนานเป็นหลัก แล้วเสนอความเห็นว่า โนราเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. 1958-2051 ที่เมืองพัทลุงเก่า คือบางแก้วในปัจจุบัน เจ้าเมืองพัทลุงครั้งนั้นคือ พระยาสายฟ้าฟาด หรือท้าวโกสินทร์ มเหสีชื่อ ศรีมาลา ทั้งสองมีลโอรสชื่อพระเทพสิงหร และธิดาชื่อนวลทองสำลีหรือศรีคงคา พระยาสายฟ้าฟาดได้หาราชครูให้สอนวิชาการร่ายรำแก่ โอรสและพระธิดา ผลปรากฎว่านางนวลทองสำลีรำได้ 12 ท่าอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็มีเรื่องน่าละอายเกิดขึ้น คือนางเกิดตั้งครรภ์ โดยได้เสียกับพระเทพสิงหรผู้เป็นพี่ ส่วนราชครูได้เสียกับนางกำนัล พระยาสายฟ้าฟาดสั่งให้เอาราชครู 4 คน มีนายคงผมหมอ นายชม นายจิตร และนายทองกันดาร ผูกคอถ่วงน้ำในย่านทะเลสาปสงขลา ส่วนโอรสสนมกำนัลถูกลอยแพ แต่โชคดีแพไปติดเกาะกะชัง ที่กิ่งอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา จึงรอดชีวิต ต่อมานางนวลสำลีก็คลอดบุตรชื่อทองอู่ สนมกำนัลที่ได้เสียกับนายคมผมหมอ ก็คลอดบุตรชื่อจันทร์กระยาผมหมอ เมื่อบุตรนางนวลทองสำลีโตขึ้นก็ได้ฝึกร่ายรำจนได้มีโอกาสไปยังเมืองพัทลุง ได้พบกับพระยาสายฟ้าฟาด ๆ จึงยกโทษให้โอรสและธิดา ได้รับกลับเมือง ทั้งแต่งตั้งทองอู่หลานชายให้เป็น “ขุนศรีศรัทธา”
ในการวินิจฉัยเรื่องนี้ คุณเยี่ยมยงได้เยี่ยงหลักฐานที่สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอ้างถึงตำนานที่ได้ไปจากนครศรีธรรมราช ที่ว่าขุนศรีศรัทธาถูกลอยแพไปติดเกาะสีชัง ว่าเป็นเรื่องผิดพลาด จริง ๆ เกาะที่เอยถึงคือเกาะ กะชัง ซึ่งเป็นเกาะใหญ่เกาะหนึ่งในทะเลสาปสงขลา อนึ่งเรื่องราวนี้ก็ได้กล่าวชัดเจนว่าเกิดขึ้น ทางเมืองพัทลุง และโนราก็นิยมกันมากทั้งในดินแดนฝั่งทะเลสาปด้านตะวันออก (คือ อำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาเดี๋ยวนี้) ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่จะยกให้โนราเป็นเรื่องของเมืองอยุธยา
เทวสาโร ได้แสดงควาคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาในหนังสือ เทพสารบรรพ สรุปความไว้ว่า โนราเป็นการร่ายรำบูชาเทพเจ้า พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ ในศาสนาพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์เข้าสู่ปักษ์ใต้จึงนำเอาการละเล่นชนิดนี้เข้ามาด้วย เรื่องราวตำนานนั้นคงเกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ เป็นช่วงที่มีการสถาปนาเมืองพัทลุงที่บางแก้ว นามท้าวโกสินทร์ก็คือ พระเจ้าจันทรภาณุนั้นเอง ที่ได้นามนี้ก็เพราะได้สร้างพระแก้วมรกตซึ่งถือเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ ส่วนนางอินทรกรณีย์ผู้เป็นชายา ก็คือนางอินทิราณีนางพระยาเมืองสิงหล ซึ่งพระเจ้าจันทรภานุได้มาเมื่อครั้งไปตีเมืองสิงหล กษัตริย์ได้มีโอรสชื่อเทพสิงหรหรือศรีสิงหร มีธิดาชื่อศรีคงคา ที่ได้ชื่อนี้สันนิษฐานว่า เธอคงประสูติกลางทะเลตอนเสด็จกลับจากสิงหล นางศรีคงคาผู้นี้ตามประวัติว่าได้เสียกันเองกับบุตรเจ้านครชั้นผู้น้อย (เข้าใจว่าเป็นเชื้อสายทาง “คชรัฐ” ซึ่งตั้งเมืองบริเวณบ้านท่าแค อำเภอเมืองพัทลุงปัจจุบัน) ทำให้ท้าวโกสินทร์กริ้วมาก ประกอบกับพระทพสิงหรก็มิได้ทรงสนพระทัยในการปกครองบ้านเมือง มัวหลงแต่การร่ายรำ พระองค์จึงสั่งให้เนรเทศโดยการลอยแพโอรสและธิดาไปพร้อมกัน แพไปติดเกาะสีสังข์ในทะเลสาปสงขลา ณ ที่นั้นนางศรีคงคาได้ประสูติโอรสชื่อ “ราม” และได้ฝึกฝนให้หัดรำโนรา
ต่อมาพระเจ้าจันทรภาณุทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองขนานใหญ่ ทรงนิรโทษกรรมแก่โอรสและพระธิดา พระเทพสิงหรจึงได้ครองเมืองที่เขานิพัทธสิงห์ (เขาพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัด สงขลา) เป็นการสนองบุญคุณพระบิดาและล้างมลทินที่ทำมาก่อน ฝ่ายเจ้าชายราม พระเจ้าหลานเธอ ได้สร้างพระธาตุสัทธังพระ (วัดสทัง ตำบลหารโพธิ์ อำเภอเขาสนชัย จังหวัดพัทลุง) โดยมีเจ้าทองอู่และนางศรีคงคาเป็นผู้สนับสนุน จากนั้นพระเจ้าจันทรภาณุโปรดเกล้า ให้มีการฉลองพระนครและพระธาตุบางแก้วซึ่งเป็นศูนย์รวมของราชธานีใหม่ ครั้งนั้นโปรดเกล้าให้มีการแสดงโนราและได้ประทานบรรดาศักดิ์ให้แก่พระเจ้าหลานเธอเป็น “ขุนศรีศรัทธา” ทั้งทรงอนุญาติให้ใช้เครื่องทรงสำหรับกษัตริย์แต่งตัวได้ โนราจึงได้สืบเชื้อสายแต่บัดนั้นมา
ท่านต่อมาคุณ สุจิตต์ วงศ์เทศ ท่านเห็นว่าเดิมเรียกโนราว่า “ชาตรี” มาก่อน มีหลักฐานเก่าแก่สุดอยู่ในโคลงกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ (ทรงแต่งเรื่องพระบรมศพรัชกาลที่ 1 ) ว่า
ชาตรีตลุบตุบทิ้ง กลองโทน
รำสะบัดซัดเอวโอน อ่อนแปล้
คนกรับรับขยับโทน เสียงเยิ่น
ร้องเรื่องรถเสนแก้ ห่อขยุ้มยาโรย
ชาตรีนั้นมีมาก่อนแล้ว และไม่เชื่อว่ามาจากอินเดีย หากแต่เป็นการประสมประสานการละเล่นหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มเพชรบุรี-ศรีอยุธยา และให้น้ำหนักกับโนราชาตรีว่า ขุนศรัทธาซึ่งเป็นตัวละครของพระเทพสิงหรได้พาละครจากอยุธยาไปหัดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นครั้งแรก จนเป็นแบบแผนของโนราชาตรี สืบมา และชี้ว่าโนรากับละครเฉพาะละครชาตรีของทางภาคกลาง (เพชรบุรี) มีลักษณะร่วมกันหลายอย่าง เช่นพิธีครอบเทริด ความเชื่อเรื่องเสากลางโรง เรื่องนายโรงยืนเครื่อง เรื่องเล็บปลอม และชี้ว่าธรรมเนียมการสวมเทริดไม่พบในภาคใต้ในสมัยแรก ๆ แต่พบทางล้านนา อยุธยา การละเล่นในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ก็สวมเมริด เหล่านี้ยืนยันว่าชาตรีเกิดขึ้นที่ภาคกลาง แล้วแพร่ลงสู่ภาคใต้
พ.ต.หญิงผะอบ โปษะกฤษณะ กล่าวถึงประวัติละครชาตรีว่า เป็นละครเก่าแก่ของไทย เกิดขึ้นขากการขับร้องและฟ้อนรำประกอบดนตรีไทย ซึ่งมีอยู่เดิมมาผสมกับการแสดงละครแบบอินเดีย ซึ่งมีตัวละคร 3 ตัวคือ นายโรง ตัวนางและตัวตลก และใช้ดนตรีเครื่องห้า สมัยโบราณชาตรีเป็นที่นิยมทางภาคใต้ นิยทแสดงเรื่อง พระสุธน-นางมโนราห์ จึงเรียกการแสดงชนิดนี้ว่า โนห์ราชาตรี ต่อมาละครชาตรีเข้ามาสู่ภาคกลางในสมัยพระเจ้าธนบุรีและสมัย ร.3 โดยลำดับทำให้เกิดความแพร่หลายสืบมา
ท่านสุดท้ายคุณ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ให้ข้อมูลหลักฐานหลายอย่างยืนยันว่า เดิมชาวภาคใต้เรียกโนราว่าชาตรี เมื่อชาตรีแพร่หลายสู่ภาคกลาง ชาวภาคกลางเห็นว่ามีลักษณะใกล้ละคร จึงเรียกว่าละครชาตรี ต่อมานิยมเล่นเรื่อง “มโนราห์” จึงเรียกขานชื่อ “มโนราห์” แทนชาตรี แล้วต่อมาคำว่า “มโนราห์” เปลี่ยนเป็น “โนรา” ตามความนิยมตัดทอนพยางค์ของภาษาถิ่นใต้ และลงความเห็นว่าโนราคงเกิดและพัฒนาเป็นศิลปชั้นสูงบขึ้นบริเวณเมืองพัทลุงโบราณมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็ยอย่างน้อย แล้วต่อมาจึงมีการปรับประสานกันกับละครภาคกลาง โดยภาคกลางรับแบบแผนของโนราไปใช้ เช่นพิธีครอบละครภาคกลางจะใช้ขันสาครสิบสองนักษัตรให้ผู้จะครอบรองนั่ง และอ้างบทพระราชนิพนธ์ของพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอน “พระภะรตเบิกโรง” ทรงให้พระภะรตมุนีครูละครฟ้อนรำถวายเป็นเทวพลีเป็นแบบอย่างแก่ศิษย์ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบันทึกไว้ในบทเจรจาของพระภะรตว่า “จงจำไว้ให้มั่น ถ้ารำได้ รำตามกันยิ่งดี เพราะท่าเหล่านี้เป็นท่าแบบละครโบราณ”
จะเห็นได้ว่าคุณสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เห็นว่า พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวน่าจะมั่นพระทัยว่า โนราหรือชาตรีเป็นแบบแผนของละครภาคกลาง และทรงได้จากบรรดาชาตรีโบราณภาคใต้แต่ทรงเรียบเรียงให้เป็ยแบบสมบูรณ์ และได้มีการถ่ายทอดกลับสู่ภาคใต้ในเวลาต่อมา
0 comments:
แสดงความคิดเห็น