อาจกล่าวได้ว่า ในพิธีโนราโรงครู พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ภายในโรงโนราจัดเป็นพื้นที่ที่สำคัญมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่วิญญาณบรรพบุรุษ จากโลกหน้ากับลูกหลานในโลกนี้มาพบปะพูดคุยกันได้ ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปลูกสร้างและตกแต่งโรง เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ที่สื่อความหมายถึงการเชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสอง
เริ่มจากที่ตั้งโรงจะต้องอยู่ใกล้บ้านเจ้าภาพ เพื่อเชื่อมสายสิญจน์จากหิ้งบูชาภายในบ้าน มายังโรงโนรา หน้าโรงควรหันไปทางทิศที่ไม่ใช่ทิศตะวันตก และต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับให้ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านได้นั่งชม หากไม่มีพื้นที่ตามลักษณะดังกล่าว อาจขออาศัยพื้นที่ของเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ได้
แม้ว่าปัจจุบันการปลูกโรงสำหรับแสดง เพื่อความบันเทิง จะวิวัฒนาการรูปแบบจากโรงติดพื้น เป็นยกพื้นสูง เพื่อให้คนดูมองเห็นผู้รำได้ในระยะไกล แต่สำหรับพิธีโรงครู การปลูกโรงยังคงมีรูปแบบและเนื้อหาแบบดั้งเดิม คือ เป็นโรงหลังคาหน้าจั่ว กว้าง ๔ คูณ ๕ เมตร ปลูกแบบไม่ยกพื้น ปูพื้นโรงด้วยเสื่อกระจูด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พื้นที่โรงแบ่งเป็นสองส่วน คือพื้นที่ด้านหน้าสำหรับประกอบพิธีกรรม และแสดง พื้นที่ด้านหลังใช้เป็นที่พักและแต่งตัว มีฉากท้องพระโรงเป็นม่านกั้นอาณาเขต
พื้นที่ด้านหน้านั้น ด้านขวามือเป็นที่ตั้งของ "พาไล" หรือหิ้งยาวสูงระดับสายตา สานด้วยไม้ไผ่หรือปูด้วยไม้กระดานสำหรับวางเครื่องเซ่น ด้านซ้ายมือซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพาไล มี "นัก" หรือ "พนัก" ทำจากเสาไม้ปักดิน ความสูงเหนือเข่าเล็กน้อย มีราวพาดด้านบนสำหรับให้ตัวแสดงนั่ง ความกว้างขนาดนั่งพร้อมกันได้ไม่เกินสองคน หันหน้าไปทางพาไลให้ตายายได้ชม
ส่วนด้านหลังม่านซึ่งเป็นที่พักผู้แสดง จะยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณ ๒ ศอกสำหรับให้ผู้แสดงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และนอนพักในตอนกลางคืน ตามคติดั้งเดิม ถือกันว่าโรงโนราเปรียบเสมือนบ้านของโนรา หากไปแสดงโรงครูที่ไหน โนราทุกคนจะต้องนอนในโรง และนายโรงคือผู้มีอำนาจสูงสุด ในการควบคุมไม่ให้สมาชิก ในคณะทำอะไรผิดธรรมเนียม และกำจัดผีอื่น ไม่ให้เข้ามาสร้างความวุ่นวายตลอดพิธีกรรมนี้
นอกจากนี้ ภายในโรงยังต้องมีสัญลักษณ์อีกมากมาย ที่ช่วยเชื่อมโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณเข้าด้วยกัน ซึ่งจะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว อาทิ "เพดาน" ผ้าขาวสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กน้อย ห้อยลงมาจากเพดานจริง แล้วผูกสายสิญจน์โยงเข้าสู่หิ้งบูชาบรรพบุรุษบนบ้าน เพื่อให้วิญญาณบรรพบุรุษ ไต่ลงมาร่วมพิธีภายในโรง หรือ "สาดคล้า" ทำหน้าที่แทนแผ่นดินของโลกวิญญาณ ซึ่งโนราจะทำพิธีเชิญมาชุมนุมในวันแรกและส่งกลับในวันสุดท้าย โนราจะต้องระมัดระวังไม่ให้สาดคล้าผืนนี้พลิกเปิดขึ้นมาเพราะจะทำให้วิญญาณ ตายายไม่มีที่อยู่ แม้ว่าปัจจุบันชาวบ้านจะนำเสื่อกระจูด มาใช้แทนสาดคล้าของจริง ที่สานจากต้นคล้า เนื่องจากต้นคล้าหายากขึ้น แต่ถ้าเป็นไปได้ชาวบ้านก็ยังนิยมใช้ "สาดคล้า" เพื่อสื่อถึงความหมายเดิม เช่นเดียวกับ "กระแชง" ซึ่งนำต้นเตยมาเย็บติดกันเป็นผืนเล็ก ๆ สื่อความหมายถึงเรื่องราวในตำนานโนราฉากพระธิดาถูกลอยแพออกจากวัง ระหว่างล่องแพนางต้องใช้กระแชงบังแดด ชาวบ้านจึงนำกระแชง มาวางบนจั่วหลังคาเพื่อแสดงเรื่องราวในตำนาน ปัจจุบันกระแชงของแท้ที่เย็บจากต้นเตยหายาก ชาวบ้านจึงนำผ้าพลาสติกมาวางบนจั่วแทน แต่ยังคงเรียกกระแชงเหมือนเดิม เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้กาลเวลาและสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่ตำนานโนรา ความเชื่อเรื่องตายาย ยังคงถูกถ่ายทอด ผลิตซ้ำ สู่คนรุ่นใหม่ในความหมายเดิม
นอกจากพื้นที่ภายในโรงโนรา จะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ในเวลากลางวันแล้ว ตกกลางคืนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรแห่งนี้ ยังถูกเนรมิตเป็นเวทีเปิดตัวโนรารุ่นใหม่ และเป็นเวทีเผยแพร่ศิลปะการแสดง ของโนรารุ่นใหญ่ให้เลื่องลือไกล
0 comments:
แสดงความคิดเห็น