โนราห์โรงครู เป็นศิลปะกานแสดง ประเภทดนตรีและการแสดงในพิธีกรรมที่สร้างขวัญกำลังใจ และเชื่อว่ารักษาโรคได้อีกด้วย
ความเป็นมา
โนราห์ เป็นการละเล่นที่นิยมกันมากในจังหวัดภาคใต้ทั่วๆไป ประวัติของโนราห์มีอยู่ว่า ในสมัยก่อนพระอิศวร หรือเทวดา ที่คอยช่วยเหลือมนุษย์จะเสด็จลงมาชมการการร่ายรำของพวกกินรี ทุกวันพระ 8 ค่ำ จนมาวันหนึ่ง เมื่อทอดพระเนตรกินรีร่ายรำแล้วก็กลับไปยังวิมานโดยทรงรำพึงว่าพวกกินรีได้แต่รำอย่างเดียว ร้องไม่ไพเราะ เลยจึงทรงจินตนาการต่อไปว่า ควรจะหามนุษย์รำเสียบ้าง จึงส่องทิพยเนตรลงมาไปยังเมืองไกรชมพู เห็นนาย สมวงศ์บุตรเศรษฐี เป็นผู้สมควรจึงคอยหาโอกาสอยู่จนกระทั่งวันหนึ่งนายสมวงษ์ หยิบเอาข้าวนิดแกงหน่อยใส่ลงในกระทง แล้วเซ่นให้ผีกระแซงกิน เมื่อเสร็จแล้ว ก็หลับไป พระอิศวรได้โอกาสจึงถอดเอาหัวใจนายสมพงศ์ แล้วเอาเครื่องทรงกินรี แล้วทรงสอนท่ารำของกินรีให้ ๑๒ ท่า จนนายสมวงศ์ จำได้อย่างแม่นยำ พอตกตอนบ่ายนายสมวงศ์ตื่นจากที่นอนแล้วต้อนควายกลับบ้านแล้ว อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเข้าไปหาบิดาขอร้องให้บิดาหาเครื่องทรงให้และบอกว่าตัวเองจะไม่เลี้ยงควายอีกต่อไป จะออกไปรำโนราห์ บิดาก็ตามใจบุตรจึงจัดหาเครื่องแต่งตัวใหม่ๆ ให้สมตามความปรารถนานับตั้งนั้นเป็นต้นมา นายสมวงศ์ก็ได้แต่รำโนราห์เพียงอย่างเดียว ข้าทาสชายหญิงก็เพิ่มความรักแก่นายสมวงศ์ มากขึ้นๆ คงจะเห็นว่ารำดี ไม่นายสมวงศ์จะไปไหนมาไหนก็จะนั่งบนบ่าและตั้งแต่นั้นมานายสมวงศ์ก็ตั้งตัวเป็น ขุนท่า (นายโรง) อีกด้วย
กิตติศัพท์ขุนท่าโนราห์ก็เลื่องลือระบือไกล นายสมวงศ์จึงได้รับเกียรติให้ไปแสดงในเมืองสายฟ้าฟาด แต่บังเอิญ แม่นอลทองสำลีบุตรของพระยาสายฟ้าฟาดไปเป็นขุนท่ารำ ก็ติดใจพอกลับมาถึงวังจึงชวนพวกสนมหัดรำโนราห์ และแม่นวลทองสำลีก็มีท้อง พรานบุญซึ่งเป็นคนคอยคุมแม่นวลทองสำลี จึงกราบทูลพระยาสายฟ้าฟาด พระยา สายฟ้าฟาดพิโรธเอาพรานบุญกับแม่นวลทองสำลี ลอยเแพคลื่นซัดไปถึงเกาสีชังต่อมาแม่นอลทองสำลีได้คลอดบุตรที่เกาะสีชังชื่อว่า เทพสิงหนเมื่อบุตรเจริญวัยก็สอนให้รำโนราห์ จนมีความ ชำนาญต่อมาทั้งสามคน คือแม่นวลทองสำลี เทพสิงหน และพรานบุญ ก็ออกเที่ยวรำตามวัดต่างๆ จนมีชื่อเสียง เลื่องลือกันมาอยู่มาวันหนึ่ง ข่าวก็รู้ไปถึงพระยาสายฟ้าฟาดว่า คนทั้งสามรำดีจึงสั่งให้เพชฌฆาต มารับไปรำในวังถึง ๒ ครั้ง แต่แม่นวลทองสำลีไม่ยอมไป และครั้งที่ ๓ จึงสั่งให้เพชฌฆาตมารับอีกแต่นางก็ไม่ไปอีก จึงให้เพชฌฆาตอธิฐาน ขณะนั่งเรือแล้วพุ่งหอกไปแทงจระเข้ตาย นางจึงยอมเข้าไปหาพอเรือไปถึงเมืองพระยาสายฟ้าฟาด แม่นวลทองสำลีและเทพสิงหนก็เข้าไปหาพระยาสายฟ้าฟาด เมื่อพระยาสายฟ้าฟาดเห็นเทพสิงหนซึ่งเป็นหลาน ก็เศร้าพระทัยอาลัยรักมาก พระองค์จึงทรงส่งเสริมให้มีการรำโนราห์และการรำโนราห์ก็ได้เจริญอยู่ในภาคใต้ ตราบจนเท่าทุกวันนี้
โนราโรงครูเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญในวงการโนราห์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะเป็นพิธีกรรม เพื่อเชิญครูหรือบรรพบุรุษของโนรามายังโรงพิธี เพื่อรับการเซ่นสังเวย เพื่อรับของแก้บน และเพื่อครอบเทริดหรือผูกผ้าแก่ผู้แสดงโนรารุ่ยใหม่ ด้วยเหตุที่ต้องทำการเชิญครูมาเข้าทรง ( หรือมา " ลง " ) ยังโรงพิธี จึงเรียกพิธีกรรมนี้อีกชื่อหนึ่ง คือ " โนราห์ลงครู " โดยปกติการร่ายรำมโนราหากจัดขึ้นเพื่อการชมในฐานะมหรสพก็เรียกว่า " โนรารำ " ถ้าคณะโนราเดินทางไปแสดงต่างถิ่นในลักษณะแสดงเร่ไปเรื่อย ๆ เรียกว่า " โนราเดินโรง " และถ้าให้โนราตั้งแต่ 2 คณะแสดงประชันแข่งขันกันก็เรียกว่า " โนราห์โรงแข่ง "
" ครู " ตามความหมายของโนราห์มีสองความหมาย ประการแรกหมายถึง ผู้สอนวิชาการร้องรำโนราแก่ตนเอง หรือแก่บรรพบุรุษของตน ความหมายที่สอง หมายถึงบรรพบุรุษหรือผู้ให้กำเนิดโนรา เช่นขุนศรี ศรัทธา นางนวลทองสำลี และแม่ศรีมาลา บรรพบุรุษตามความหมายนี้ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ตายายโนรา "
สำหรับวัตถุประสงค์ในการแสดงโนราโรงครูมี 3 ประการ คือ
1. เพื่อไหว้ครู หรือ ไหว้ตายายโนรา ด้วยเหตุที่ศิลปินต้องมีครู ดังนั้นผู้แสดงโนราหรือเทือกเถาเหล่ากอของโนราจึงต้องยึดถือเป็นธรรมเนียมจะต้องมีการไหว้ครูเหมือนศิลปินอื่น ๆ และแสดงกตเวทิตาคุณต่อครูของตน การไหว้ครูและแสดงกตเวทิตาคุณของโนราทำโดยการรำโรงครูนี้เอง
2. เพื่อแก้บน นอกเหนือจากการไหว้ครูข้างต้นแล้ว โนราโดยทั่วไปจะถือว่าครูโนราของตนที่ล่วงลับไปแล้วเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเมื่อมีเหตุเพทภัยเกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว หรือญาตมิตร ก็มักจะบนบานศาลกล่าวต่อบรรพชนเหล่านั้นให้มาช่วยขจัดปัดเป่าเหตุเพทภัยนั้น หรือบางครั้งบนบานศาลกล่าวขอให้ตนประสบโชคดี ซึ่งเมื่อสมประสงค์แล้วก็ต้องทำการแก้บนให้ลุล่วงไป ทางออกของโนราในกรณีนี้ก็คือการรำโนราโรงครู
3. เพื่อครอบเทริด ธรรมเนียมนิยมอย่างหนึ่งของศิลปินไทย คือการครอบมือแก่ศิลปินใหม่ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมอันเป็นมิ่งมงคลยิ่งของชีวิตศิลปิน ซึ่งโนราก็หนีไม่พ้นธรรมเนียมนิยมนี้ แต่เรียกว่า " พิธีครอบเทริด " หรือ " พิธีผูกผ้าใหญ่ " หรือ " พิธีแต่งพอก " หากพิธีนี้จัดขึ้นเมื่อใดก็ตาม จำเป็นต้องมีการรำโนราโรงครูทุกครั้งชนิดของโนราโรงครู โนราโรงครูมี 2 ชนิด คือ
1. โรงครูใหญ่ หมายถึงการรำโนราโรงครูอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะต้องกระทำต่อเนื่องกัน 3 วัน 3 คืน จึงจะจบพิธี โดยจะเริ่มในวันพุธ ไปสิ้นสุดในวันศุกร์ และจะต้องกระทำเป็นประจำทุกปี หรือทุกสามปี ทุกห้าปี ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมการกันนานและใช้ทุนทรัพย์สูง จึงเป็นการยากที่จะทำได้
2.โรงครูเล็ก หมายถึงการรำโรงครูอย่างย่นย่อ คือใช้เวลาเพียง 1 วันกับ 1 คืน โดยปกติจะเริ่มในตอนเย็นวันพุธแล้วไปสิ้นสุดในวันพฤหัสบดี ซึ่งการรำโรงครูไม่ว่าจะเป็นโรงครูใหญ่หรือโรงครูเล็กก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวการณ์และความพร้อม การรำโรงครูเล็ก เรียกอีกอย่าง คือ " การค้ำครู "
อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นการรำโรงครูใหญ่หรือรำโรงครูเล็กนับเป็นธรรมเนียมนิยมอันดีของศิลปินโนรา เพราะนอกจากเป็นการรำลึกถึงบุญคุณครูแล้วยังเป็นการชุมนุมบรรดาศิษย์ของโนรารุ่นต่าง ๆได้อีกประการหนึ่งด้วย อันเป็นหนทางให้เกิดสัมพันธภาพอันดีต่อกันระหว่างครูกับศิษย์ ศิษย์กับศิษย์ โนรากับโนราให้คงอยู่กันอย่างแน่นแฟ้น ซึ่ง ณ ที่นี้ ขอชมเชยชาวตำบลท่าแค อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ที่ยังคงจัดพิธีกรรมรำโนราโรงครูอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยทั่วไปการแสดงโนราห์ มี 3 ชนิด การแสดงโนราห์ธรรมดา การแสดงโนราห์ประชันโรง และการแสดง โนราห์โรงครู
การแสดงโนราห์โรงครู
โนราห์โรงครูเป็นศิลปะการแสดงประเภทดนตรีและพิธีกรรม โรงครู หรือลงครู เป็นการเชิญ ตายาย ตาหลวง หรือครูหมอโนราห์มาเข้าทรงโดยปกติคนทรงจะมีประจำอยู่แล้วโดยลูกหลานต้องมานั่งพร้อมหน้ากันและแต่ง ตัวคนทรงไว้ให้พร้อม คือนุ่งขาวห่มขาว และมีผ้าขาวคลุมเพื่อความสะดวกในการนั่งสมาธิ จะนั่งบนบ้านหรือ โรงโนราห์ก็ได้ และโนราห์ใหญ่หรือนายโรงโนราห์ก็จะว่าบทเชื้อเชิญพ่อ แม่ ตา ยาย มานั่งเข้าทรง ตาหลวงที่ เข้าทรงมีหลายองค์แต่ทุกเจ้าภาพจะต้องเชิญบูรพาจารย์โนราห์ก่อน ซึ่งทางโนราห์ทราบดี นั้นคือตาหมอเฒ่า ตาหมอสิงหร ตาหมอเทพ จากนั้นก็เชิญตายายโนราห์เจ้าภาพ การเชิญต้องเชิญมาเข้าทรงทีละองค์ คนทรงต้อง สะบัด (โนราห์ทำเพลงเชิดคนทรงสั่นเพื่อสลัดตาหลวงให้ออกจากร่าง) จึงเชิญตาหลวงองค์ต่อไป ขณะเชิญตา หลวงเข้าทรงดนตรีทำเพลงเชิดเข้าตามบทร้องเชิญของครูหมอ เมื่อครูหมอเข้าทรงคนทรงเริ่มสั่น ดนตรีก็ทำเพลงเชิดการที่ครูหมอลงหรือจับลง เรียกว่าลงครู หรือโรงครู
ขนบและพิธีการแสดงโนราห์โรงครู
1. เป็นการรับช่วงจากบรรพบุรุษ ที่กระทำสืบต่อกันมาโดยจะต้องลงครูหรือแสดงโนราห์โรงครู ทุกปีตามที่ พ่อ แม่ ตา ยาย สั่งเอาไว้
2. เกิดจากการบนบานสานกล่าว เนื่องจากลูกหลานเจ็บป่วย นำไปรักษาแพทย์ก็ไม่หายจึงบนบานขอความช่วย เหลือจากพ่อแม่ตายายที่ล่วงลับไปแล้วให้รักษาอาการเจ็บป่วยนั้น หากไม่แก้บนอาจถูกลงโทษจาก พ่อแม่ ตายายได้
3. เกิดจากการแก้บน สาเหตุจากการบนบานสานกล่าวเพื่อจะให้งานประสบผลสำเร็จในกิจการบางอย่าง พ่อแม่ ตายาย ก็ช่วย เมื่อประสบผลตามปรารถนาก็มาแก้บนโดยการมารับโนราห์แสดงลงครู
อาจกล่าวได้ว่า โนราห์โรงครู เป็นภูมิปัญญาของคนภาคใต้ที่สืบทอดกันมา เนื่องจากการแสดงโนราห์โรงครู ช่วยให้คนที่หมดกำลังใจในการประกอบอาชีพ หรือป่วยไข้ที่ไม่สามารถหาทางแก้ได้แล้ว ก็จะพึงพาครูหมอ โนราห์ และเชื่อว่าครูหมอสามารถดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จตามความปรารถนาและให้หายจากการเจ็บ ป่วยได้จริง เช่น
- การที่เด็กเป็นเสน (มีลักษณะเนื้อนูนสีแดงผิดปกติ ขึ้นบนผิวหนัง) ไปหาโนราห์ให้รักษา เรียกว่าโนราห์เหยียบเสน แล้วก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
- ผู้ป่วยเป็นโรคจิตวิปริต ทางญาติพาไปรักษาทุกวิธีแล้วรักษาไม่หาย ก็เชื่อว่าเป็นการโดนของ (คุณไสย) ก็จะบน บานครูหมอให้รักษาหลังจากนั้นอาการหายเป็นปกติ ก็จะรับโนราห์ไปแก้บน
- ผู้มีปัญหาทางใจ หรือหมดกำลังใจหมดหวังในชีวิต อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ขอจะบนบานขอให้ประสบความสำเร็จ สมความปรารถนา เมื่อสมความปรารถนาแล้วก็จะรับโนราห์ไปแก้บน
ขั้นตอน/ระยะเวลา/สถานที่ในการแสดงโนราห์โรงครูโนราห์มาถึงโรงพิธี ประมาณ 16.00 น. เริ่มพิธี เวลาประมาณ 18.00 น. โดยมีพิธีเบิกโรงกาดครู กราบครู ถวายครู ต่อด้วยการแสดงของนางรำเพื่อสร้าวความสนุกสนานในบทต่าง ๆ การร่ายรำ 12 ท่า บทพระรถเมรี ก่อนที่โนราห์ใหญ่รำถวาย เซ่นบวงสรวง และเชิญครู เข้าทรงจบพิธี
0 comments:
แสดงความคิดเห็น